ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ห่างฟ้า ไกลดิน ตอนที่ 2

เริ่มโดย footswitch, กุมภาพันธ์ 02, 2021, 03:34:43 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

footswitch

ตอนที่ 1 https://xonly8.com/index.php?topic=239173.0

.....................

ลูกศรเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายเก็บของในล็อกเกอร์เสร็จเรียบร้อยเดินออกมายืดเหยียดร่างกาย

          "พี่อ๊อด .. ครูไม่อยู่เหรอ"
          "อยู่ในออฟฟิศ คุยธุรกิจอยู่" ชายในชุดออกกำลังกายบุ้ยหน้าบอก

          "ไอ้พวกเปรตนี่มันตื้อดีจริงๆสงสัยต้องจัดหนักจะได้หลาบจำ ถือว่ามีเงินแล้วหญ่นักเหรอ" ลูกศรมองไปทางออฟฟิศ

เดชพลนั่งเล่นโทรศัพท์ นิเวศน์หันมองรูปถ่ายรอบห้องถ้วยรางวัลมากมายในตู้โชว์ ระหว่างที่ครูแท่นเจ้าของยิมเปิดแฟ้มแผนพัฒนาธุรกิจที่ทั้งสองนำมาเสนอ

          "ถ้าผมสนใจตามแนวทางนี้ต้องทำยังไง" ครูแท่นถามเหลือบตามองเดชพล

          "ก็แค่สรุปบัญชีงบการเงินรายรับและหนี้สินทั้งหมด แล้วเราก็มาคุยกันว่าจำนวนหุ้นสี่สิบเปอร์เซนต์ที่ครูจะขายให้ผมกับเพื่อนคิดเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่" เดชพลตอบเสียงเรียบ 

          "โลกาภิวัตน์รุมล้อมเราทุกทิศทุกทาง ถ้าคิดจะสู้ก็ต้องรีโนเวทพัฒนาสถานที่รอบๆใหม่" นิเวศน์ชี้นิ้วบนแบบแปลน "พวกแสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ ห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดจนความสะอาดของอุปกรณ์และสถานที่" นิเวศน์เสริม

          "นวม กระสอบทรายสีสันสดใส รวมถึงคอร์สเรียนที่การเน้นออกกำลังกายมากกว่าการต่อสู้เข้าปะทะเจ็บตัวจริงๆ"

          "บอดี้คอมแบท" ครูแท่นเสริม
          "ครับ อะไรประมาณนั้น"
         
          "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วทางเขตเพิ่งเคาะว่าคอนโดลุมพีนีจะขึ้นเฟสใหม่ตรงหัวมุมถนน อีกไม่เกินสามปีภายในรัศมีวงรอบหนึ่งกิโลเมตรจะมีโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์สร้างเสร็จไม่น้อยกว่าสี่แห่ง ผมมองว่าทำเลที่ตั้งยิมของครูมีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์รวมของผู้รักการออกกำลังกายในย่านนี้" เดชพลบอกถึงอนาคตที่เขาวาดไว้
         
          "ถ้าพอใจในข้อตกลงผมกับเพื่อนจะดำเนินการเรื่องภาระหนี้สินและยุติการทวงถามหนี้จากเจ้าหนี้ทั้งหมดให้ก่อน" นิเวศน์ยิ้ม  "จะไม่มีใครไปรังควานคนในครอบครัว และครูแท่นก็สามารถยังเก็บที่นี่ไว้ได้" ครูแท่นดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนที่นิเวศน์กับเดชพลเพิ่งเดินเข้ามา

          "ผมห่วงก็แค่สมาชิกเก่าๆ ที่นี่เป็นยิมสำหรับผู้ชายถ้าเปลี่ยนกระสอบทรายเป็นสีชมพูอย่างคุณว่าคงจะรับกันไม่ได้ แถมยังเรื่องค่าสมาชิกอีกต่างหาก" ครูแท่นสูดหายใจยาว
          "มีสมาชิกผู้หญิงก็เดี๋ยวพวกผู้ชายก็มา เรื่องหาสมาชิกใหม่ครูไม่ต้องห่วงพวกผมจัดการเอง ส่วนสมาชิกเก่าเดี๋ยวเราค่อยๆเปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน"

เสียงซ้อมกระสอบทรายดังปึ้กปั้กแน่นหนักดังลอดเข้ามาในออฟฟิศ นิเวศน์หันไปมองเผลออุทาน "เห้ย.. ผู้หญิงนี่หว่า"

          "อ๋อ.. คนนี้เก่ง ขยันมาซ้อม" ครูแท่นบอก

          "เดี๋ยวนะ!!" นิเวศน์ย่อตัวแอบมองผ่านมูลี่หน้าต่าง ผู้หญิงคนนี้คุ้นๆหน้าเหมือนเขาเคยเห็นที่ไหน ปลดล็อคเศษความทรงจำในลิ้นชักสมองรื้อค้นกระจุยกระจาย อยู่ดีๆก็นึกเสียววาบที่ดั้งจมูก ถึงแม้บาดแผลจะหายดีผ่านไปกว่าสองปีแล้ว

          "เดช .. มึงจำ คืนนั้นที่กูโดนต่อยหน้าผับทองหล่อ .." นิเวศน์ถามเสียงเบา

          "เออ .. " เดชพลหรี่ตามองตามเพื่อน เขาเองก็ไม่แน่ใจ
          "มึงว่าใช่คนเดียวกันป่าววะ" 

....................

เกือบบ่ายสามโมง คฤหาสน์หลังใหญ่ทรัพย์สินของพ่อเมียย่านถนนพัฒนาการ วศินนึกแปลกตารถหรูของใครจอดสงบนิ่งอยู่ในบ้าน รถของสิริยากรจอดในที่จอดรถ คนรับใช้หายกันไปหมดไม่มาดูแลยามเขากลับถึงบ้านอย่างที่เคย

เสียงผู้หญิงครางซี้ดซ้าดเสียวสุขแว่วมาจากห้องนอนชั้นสอง เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบน ตั้งสติสูดลมหายใจลึกเดินขึ้นบันได ลูกบิดประตูไม่ได้กดล็อค สิริยากรครางเสียวไม่ได้ศัพท์ยกสองขาลอยคว้างชายแปลกหน้าหน้าตาดีนั่งยองขย่มขโยกโยกบั้นเอวถี่รัวไม่บันยะบันยัง

ชายชู้เห็นวศินเปิดประตูเข้ามาตกใจกระโจนหนีแต่สิริยากรจิกหลังรั้งไว้ เธอพลิกให้เขานอนหงายแล้วขึ้นคร่อมขย่มตอบดส่ายบั้นท้ายควบถี่ประหนึ่งจ๊อกกี้สาวครางเสียวสุดกระสันต์ราวกำลังจะถึงเส้นชัย ยิ่งผัวยืนจ้องอยู่แบบนี้สิริยากรยิ่งร่านร้อนสวาทขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ แต่เหมือนชายชู้จะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เธอขย่มต่อสักพักก็ถอนสมอเลื่อนลงไปคุกเข่าคว้าท่อนเอ็นอ่อนปวกเปียกยัดใส่เข้าปาก แต่เจ้าหนูของชายชู้ใจเสาะหมดสภาพเข็นอย่างไรก็อู้ไม่สู้งานเสียแล้ว

          "ไอ่ ไง่!! .. กระจอก ควาย!! จะไปตายไหนก็ไปเลยไป๊!!" สิริยากรตวาดไล่ใส่หน้าเสียงดังลั่นอารมณ์ค้างเสียเส้นแบบสุดๆ เขาคว้าเสื้อผ้าได้รีบเผ่นออกจากห้องนอนกระโดดลงบันไดไปทั้งร่างเปลือยล่อนจ้อน สิริยากรดึงผ้าห่มคลุมตัวจุดบุหรี่สูบสูดควันซื้ดยาวเข้าปอดอย่างไม่แยแส

          "ไม่ทำงานเหรอคะ"
          "ผมปวดหัวเลยกลับมาก่อน" วศินเดินไปปิดกล้องมินิแคมคอร์เดอร์ เปิดสวิทช์เครื่องฟอกอากาศ 

          "สิริ.."
          "เจอกันที่ผับเมื่อคืนก็เลยชวนมาต่อที่บ้านค่ะ" เธอชิงตอบก่อนเพราะรู้ว่าวศินกำลังจะถามอะไร "จะให้ไปอยู่แล้วล่ะวศินกลับมาเห็นซะก่อน โทษทีนะคะ"

          "ไม่คิดจะรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลก็เรื่องของคุณนะ แต่ผมว่าอย่างน้อยก็ควรจะอายพวกคนใช้บ้าง" วศินเตือน

          "แล้วเมียที่ผัวไม่สนใจใยดีจะกลับบ้านมานอนด้วยนี่ ไม่น่าอับอายเหรอคะวศิน" สิริยากรย้อน

          "ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ฮ่องกงนะสิริ คุณจะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้"
          "ใครๆต่างทำตามที่ตัวเองชอบกันทั้งนั้น แต่พอสิริทำบ้างทำไมทุกคนถึงต้องมีปัญหา"

          "เอาเถอะ ไม่มีใครอยากมีปัญหากับคุณหรอก" วศินอ่อนใจ "ผมปวดหัวขอตัวลงไปกินยาแล้วงีบข้างล่างซักแป๊ปดีกว่า"
          "แล้วทำไมไม่นอนด้วยกันบนเตียงนี่ล่ะ ใจคอผัวจะปล่อยให้เมียอารมณ์ค้างเหี่ยวแห้งอยู่อย่างเงี้ยเหรอ วศินช่วยสิริหน่อยสิ นะ" สิริยากรถีบผ้าห่มออกลูบไล้ร่างเปลือยเปล่าตัวเองกิริยาน่าบัดสี

          "ผมปวดหัว เหม็นบุหรี่ .." วศินถอนหายใจเบือนหน้าเดินลงบันได

..........

ชดช้อยแอบมองดูวศินอย่างสงสาร ถึงเธอจะคอยดูแลสิริยากรมาตั้งแต่เด็กแต่ก็เป็นเพียงแม่บ้านจะให้ว่ากล่าวอบรมตักเตือนก็เกินหน้าที่ งานสบายเงินดีขนาดนี้หาที่ไหนอีกไม่ได้   

          "ไม่สบายเหรอคะคุณ" ป้าช้อยเอ่ยทัก วศินเทเม็ดยาเข้าปากดื่มน้ำตาม

          "ปวดหัวนิดหน่อยครับป้า พอดีช่วงนี้นอนน้อยเดี๋ยวก็ว่าจะงีบที่โซฟาซักหน่อย"
         
          "คุณวศินขึ้นไปนอนข้างบนดีกว่ามั้ยคะ พอดีเมื่อสองวันป้าเพิ่งรับหลานมาอยู่ด้วยแทนเด็กพม่าที่คุณสิริแกไล่ออกไป แปลกหน้าแปลกตาเดี๋ยวคุณจะนอนไม่สะดวก"

          ชดช้อยพอเข้าใจว่าทำไมวศินถึงไม่นอนข้างบน เตียงสกปรกโสมมขนาดนั้นเป็นเธอก็หลับไม่ลง "ผมนอนห้องรับแขกนี่แหละดีแล้วครับ ส่วนเรื่องรับคนเพิ่มถ้าสิริเค้าโอเคผมก็ไม่มีปัญหา" วศินยิ้มแห้ง

          "งั้นเดี๋ยวป้าเอาหมอนกับผ้าห่มไปให้นะคะ"
          "ขอบคุณครับ" วศินเดินเข้าห้องรับแขกเอนตัวนอนลงบนโซฟาหลับตานวดหัวคิ้วตัวเอง

ชดช้อยถือชุดหมอนผ้าห่ม แหวน หลานยายแท้ๆที่ตามตัวจากบ้านนอกให้มาช่วยทำงานในบ้านเดินผ่านมาพอดี

          "อ่ะ เอ็งเอาหมอนกับผ้าห่มไปให้คุณวศินที่ห้องรับแขกที เดี๋ยวยายจะไปทำอะไรร้อนๆให้แกซักหน่อย"
          "หนูจะไปช่วยน้าต๋อยล้างรถ เดี๋ยวเกิดปุปปัปคุณสิริแกจะออกไปข้างนอกขึ้นมารถไม่สะอาดเอี่ยมจะโดนเอ็ด"

          "ปล่อยไอ้ต๋อยมันล้างของมันไปเถอะเอ็งไม่ต้องไปเสือก! ทิ้งสันดานแม่ไว้ที่บ้านอย่าแรดให้มันมากนักเดี๋ยวจะหาว่ายายไม่เตือน"

          "ค่าาา .. " แหวนลากเสียงยาว

แหวนเบะปากรับหมอนกับผ้าห่มอย่างเสียไม่ได้ เปิดประตูห้องรับแขกเห็นวศินนอนอยู่บนโซฟา เขารู้สึกตัวลืมตารับหมอนกับผ้าห่ม

          "ปิดม่านมั้ยคะคุณ" แหวนถาม
          "ไม่ต้องหรอกชั้นกินยาเดี๋ยวก็หลับแล้วเปิดไว้จะได้เห็นอะไรเขียวๆบ้าง .. ป้าช้อยล่ะ"

          "อยู่ในครัวค่ะเห็นว่าจะทำอะไรให้คุณทาน"
          "บอกป้าช้อยว่าไม่ต้องทำแล้วชั้นจะนอน แล้วถ้าคุณสิริจะออกไปข้างนอกให้รีบมาปลุกชั้นก่อน เข้าใจมั้ย"

          "ค่ะ.." แหวนรับคำ

เพิ่งมาอยู่ใต้ชายคาบ้านใหญ่หลังนี้เพียงสองวันเรื่องราวของคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงของบ้านสุดแสนจะยุ่งเหยิงพัลวัน ไม่เข้าใจว่าสองคนนี้เค้ายังเรียกตัวว่าเมียผัวกันสนิทปากได้อย่างไร

          "ยาย คุณวศินบอกว่าไม่กินแล้วแกจะนอน แต่ถ้าคุณสิริจะออกไปข้างนอกให้รีบไปปลุก"
         
          "งั้นเอ็งก็นอนเฝ้าตรงหัวบันไดนี่ล่ะยายจะไปเอนหลังซักครึ่งชั่วโมง คุณแกร้องโหยหวนทั้งคืนจนแทบไม่ได้หลับเลย" ชดช้อยหาว

แหวนเดินหงอยๆทรุดลงนั่งเล่นโทรศัพท์ตรงหัวบันได นึกเรื่องเมื่อคืนที่ยายพูดถึงแล้วเด็กสาวขนลุกขนชันจั๊กจี้ไปทั้งตัวนอนหนีบขาบิดไปบิดมากว่าจะผลอยหลับได้ก็เกือบเช้า เสียงคุณผู้หญิงร้องครวญครางโหยหวนแทบขาดใจเหมือนต้องการให้คนทั้งโลกร่วมเป็นสักขีพยานว่าเธอกำลังระเริงกามสนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน เดชะบุญยังดีที่กลับไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วคู่นึง นี่ถ้าคุณวศินกลับมาทันเห็นภาพเมียรักกำลังสวิงกิ้งสี่คูณสองคงอกแตกตายเป็นแน่

เสียงปิดประตูห้องนอนชั้นสอง แหวนเงยหน้าเห็นสิริยากรเยื้องย่างลงบันได เธอสวมเพียงชุดลูกไม้ซีทรูเบาบางสีเขียวแมงทับคลุมร่างเปลือยเปล่าขาวดังหยวก นมเป็นนมตูดเป็นตูด ส่วนโค้งเว้าทรวดทรงองค์เอวลีลาแต่ละจริตจะก้านก้าวช่างน่าหลงไหล ขนาดแหวนเป็นผู้หญิงด้วยกันยังอึ้งกิมกี่มองตาค้าง

สิริเดินผ่านราวเด็กรับใช้เป็นเพียงธาตุอากาศเข้าไปในห้องรับแขก นั่งคุกเข่าลงข้างผัวแตะหน้าผากเป็นห่วงเป็นใย

          "ตัวก็ไม่ร้อนนี่"

          "คงจะแค่นอนน้อยน่ะ พักหน่อยก็หาย"
          "สิริคลายเครียดให้เอามั้ยคะ ปลดปล่อยซะหน่อยวศินจะหลับสบาย" เธอใช้สกิลมือเดียวปลดเข็มขัดรูดซิปล้วงมือเข้าไปลูบคลำ

          "สิริ .. ผมปวดหัว" แต่ท่อนเนื้อกำยำกลับกลับพองตัวค้านคำพูดของเจ้าตัว สิริยากรยิ้ม

          "สิริมียาดีค่ะ รับรองว่าวศินจะรู้สึกดีขึ้น" เธอจัดการกางเกงสแล็คพร้อมกางเกงในผัวโยนบนพื้นห้อง "สิริชอบของใหญ่ๆดูดเข้าดูดออกจนแก้มตอบเต็มปากเต็มคำแบบของวศินนี่ล่ะค่ะ" วศินสูดหายใจเข้า น้ำลายของสิริยากรยืดย้อยลงบนส่วนหัว เธอรูดเบาๆลากลิ้นเปียกเลื้อยถึงโคน

          "อืมมมมม.." วศินครางในลำคอ

แหวนจิกกรอบประตูแอบดู เนื้อตัวของเด็กสาวร้อนผ่าวเกร็งท้องน้อยกระวนกระวายค้างๆคันๆรำราญจิ๊มิ๊เหมือนคนฉี่ไม่สุด เคยแอบดูหนังสดที่บ้านนอกแต่มันไม่เร้าอารมณ์ขนาดนี้ เจ้าหญิงสวยพราวสเน่ห์เจ้าชายก็หล่อเหลา เสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม อาคารสถานที่วิจิตรดั่งพระราชวังในนิยาย แหวนกลืนน้ำลายตามเกือบสำลักตอนที่คุณสิริเขมือบเจ้าฟุตลองของผัวมิดด้าม       

..........

ลูกศรปาดเหงื่อเหล่มองครูแท่นกับหนุ่มนักธุรกิจทั้งสองเดินออกจากออฟฟิศ คนพวกนี้สินะที่ตามรังควานเร่งรัดหนี้สินขู่บังคับให้ยินยอมขายตึก เธอขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทรชนมาเหยียบเย้ยถึงถิ่นขืนปล่อยให้เดินกลับออกไปดีๆใครรู้เข้าจะเสียชื่อเสียเชิงลูกศรหมด 

นิเวศน์เห็นกระสอบทรายแล้วคันมือคันเท้าขยับเนคไทด์ขออนุญาติเตะต่อยเล่นๆซักหน่อย 

          "งั้นกูไปเลยนะเว่ย" เดชพลลาเพื่อน ยกมือไหว้ครูแท่น

          "เห้ย .. อ๊อด เอากางเกงมาเปลี่ยนแล้วพันมือให้พี่เค้าหน่อย" ครูแท่นร้องเรียกลูกศิษย์
          "ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับครู แค่ต่อยเล่นๆเอง" นิเวศน์เกรงใจ

          "ผมห่วงว่ากางเกงคุณจะเป้าขาดแล้วก็พันมือไว้มือจะได้ไม่แตก เชิญตามสบายนะผมขอตัวเข้าไปทำธุระอะไรในออฟฟิศหน่อย ว่าจะโทรส่งข่าวดีกับคนที่บ้านด้วย" ครูแท่นยิ้มอารมณ์ดี

นิเวศน์ยืนเก้ๆกังๆออกหมัดแย็ปกระสอบทรายสลับเตะซ้ายขวา พี่เลี้ยงอ๊อดคอยสอนท่าทางที่ถูกต้องให้คร่าวๆ บิดสะโพกเตะและออกหมัดจากหัวไหล่

ทั้งที่ลูกศรเจ็บแค้นแทนเรื่องโดนข่มขู่แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครูแท่นถึงยังดูสงบนิ่ง เกลียดนักไอ้พวกลิ่วล้อสมุนนายทุนหน้าเลือดอยากได้อะไรก็ใช้เงินใช้กำลังทุบ ชีวิตของคนพวกนี้แต่ละวันคงมีแต่เรื่องสนุกสนานไม่เว้นแม้แต่ซ้อมเตะกระสอบทรายขำๆ

          "ต่อยกระสอบทรายมันจะได้อาไร้.. ลงนวมซ้อมกันเลยดีกว่ามั้ยคุณ" ลูกศรโยนนวมกับเฮดการ์ดให้ พยามทำหน้ายียวนกวนประสาทที่สุด "พี่อ๊อดเป็นกรรมการให้หน่อยสิ" เธอพูดพลางใส่นวมให้ตัวเอง 

          นิเวศน์มองซ้ายมองขวา "ให้ผมต่อยกับคุณเนี่ยนะ นี่ผมไม่ได้ว่างจัดไม่มีอะไรให้ทำถึงขั้นต้องหาเรื่องต่อยกับผู้หญิงนะคุณ ขอโทษที พอดีมีนัด"
          "ไม่นานนักหรอก อย่างนายอ่ะยืนได้ครบยกก็ถือว่าเก่งแล้ว" ลูกศรยักคิ้วข้างเดียว

          "ผมต่อยหน้าคุณเต็มๆโดยไม่ต้องถือเรื่องผู้ชายผู้หญิงเลยได้ใช่ป่าวล่ะ" นิเวศน์เสียงแข็ง
          "แล้วทีมึงไปข่มขู่ลูกเมียครูเค้าล่ะ โธ่..เก่งแต่กับผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้นี่หว่า" ลูกศรดูถูกมองหัวจรดเท้า "เจอของจริงเสือกทำปอด เก่งก็เก่งให้สุดดิวะ"

          "เดี๋ยวนะคุณผมไม่เคยไปข่มขู่อะไรครูเค้านะและก็ไม่เคยขู่ใครด้วย" นิเวศน์ทำหน้างง "จำผิดคนป่าวเนี่ย"

          ".. พูดมากเหม็นขี้ฟัน กลัวแพ้ผู้หญิงมากกว่ามั้ง" ลูกศรเย้ย

นิเวศน์มั่นใจว่าเธอจำเขาไม่ได้นึกสนุกแถมยังได้ชำระแค้น กติกาถูกร่างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ยกละสามนาที สามยก ไม่มีแพ้ชนะโดยการให้คะแนน นิเวศน์เริ่มออกลีลายียวนปั่นป่วนฟ้องกรรมการว่าถ้าลูกศรไม่ยอมใส่เฮดการ์ดเขาก็จะไม่ยอมต่อย 

กรรมการพี่อ๊อดให้สัญญาณ "ชก!!" คนอื่นๆในยิมชักชวนกันเดินเข้ามาเกาะข้างเวทีส่งเสียงเชียร์ลูกศร นักมวยสาวเจ้าถิ่นเดินอาดๆขว้างหมัดอัพเปอร์คัตเปิดฉากแต่จั่วลม นิเวศน์ฟุตเวิร์คหนีจนกรรมการพี่อ๊อดต้องเรียกให้ชกครั้งแล้วครั้งเล่า

          ลูกศรได้จังหวะสืบเท้าหมายจะคลุกวงในแต่เข้าไม่ถึง นิเวศน์ตัวสูงกว่าใช้แขนยันหัวเธอไว้เดินวนไปรอบๆ "ฮ่าๆ ไอ้เตี้ยเอ๊ย.. ทำเป็นซ่าส์" นิเวศน์หัวเราะเย้ย

ลูกศรแค้นใจเตะอัดเข้าพับในอย่างแรงจนนิเวศน์กะเผลกถอยหนีโวยวายฟ้องกรรมการว่าผิดกติกา "เฮ้ยคุณ! โกรธอะไรนักหนาผมไปทำอะไรให้เนี่ย!"  พอดีจังหวะครูแท่นเดินออกมาจากออฟฟิศมองขึ้นมาบนเวที ลูกศรก้าวย่อตัวบิดสะโพกกระโดดฮุคเข้าปลายคางอย่างจัง

          "หมัดจิงโจ้..!" นิเวศน์ท้องหงายตึงลงบนผืนผ้าใบสลบเหมือด 'ไอ้นายทุนหน้าเลือด หมัดนี้เพื่อครูแท่น'

..........

ลูกศรยืนยิ้มสะในอารมณ์ที่อัดไอ้กะจั๊วนี่ได้ไม่เกินยกแรก นิเวศน์ค่อยๆเริ่มได้สติมีแผ่นเจลประคบเย็นโปะอยู่ที่คาง ครั้งที่สองแล้วที่เขาโดนผู้หญิงคนนี้ส่งลงไปนอนวัดพื้น ครูแท่นนั่งหน้าเครียดส่วนลูกศิษย์สาวยืนยุกยิกหน้าเป็น

          "รู้สึกตัวแล้วครับ" ศิษย์พี่อ๊อดบอก

          "เป็นไงบ้างคุณ ค่อยๆลุก ใจเย็นๆ" ครูแท่นถาม

          "โอเคครับไม่ได้เป็นอะไรมาก" นิเวศน์สะบัดหัวเบาๆ

          "ตอนแรกนึกว่าตายไปแล้วนะเนี่ย คล้ายวิญาณจะหลุดจากร่าง"
          "พูดเกินไปคุณ แหม โดนนิดโดนหน่อยทำเป็นใจเสาะ คางเปราะเกิ๊นน" ลูกศรเบะปากไม่มีทีท่าว่าจะสำนึก

          "บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามใช้ไม้ตายของครูเพื่อจงใจทำร้ายใคร! ขอโทษคุณเค้าซะเดี๋ยวนี้เลย!" ครูแท่นฟึดฟัดออกคำสั่ง

          "ขอโทษค่ะ.." ลูกศรแสร้งทำหน้าสลดยกมือไหว้ขอโทษ

          "ผมแกล้งยอมให้คุณหรอกน่ะ" นิเวศน์ยิ้ม ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งรู้สึก ลูกศร ชื่อนี้น่ารักหมัดหนักถูกใจเขาชะมัด .. ^^

..........

บนโต้ะอาหารมื้อเช้า จงธรรมสังเกตุเห็นลูกสาวคนโตใส่ชุดสูทมัดผมมวยเรียบร้อยเป็นทางการราวกับจะไปสัมภาษณ์งาน

          "จะออกไปไหน" จงธรรมถาม
          "ไปตึกแกรมมี่ค่ะ ช่วยเพื่อนคุยงาน" นลินตอบเสียงเรียบ

          "อ้าวพอดีเลยวันนี้คุณเกียรติก็เรียกพ่อไปคุย ลินติดรถไปด้วยกันสิ"
          "ไม่เป็นไรค่ะพอดีงานลินคุยตั้งแต่เช้าเดี๋ยวไปรถไฟฟ้าดีกว่า" นลินยกกาแฟขึ้นดื่มหมดแก้ว
         
          "แล้วคุยกับใครล่ะ ถ้าคุณเกียรติรู้จักเผื่อจะได้ให้เค้าช่วย"
          "งานเค้าจะยกเลิกโปรเจ็ค ลินกับเพื่อนเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้งานมันไม่ล้ม"

          "ถ้างั้นตอนเย็นกลับกับพ่อมั้ยเจอกันแถวร้านกาแฟข้างล่างก็ได้"

          "ได้ค่ะไว้ลินโทรหาละกัน" นลินลุกขึ้น "ไปก่อนนะคะ แม่.. หวัดดีค่าา"

          "จ้าา โชคดี แล้วกลับมากินข้าวนะลูกนะ" อัญชลิกาพูดเสียงดังจากในครัว

          "สวัสดีค่ะพ่อ" นลินยกมือไหว้
          "เอ้า.. เดี๋ยวก็เจอกันจะสวัสดีทำไมล่ะ" จงธรรมยิ้ม

          "เห็นว่าทำบริษัทกับเพื่อน สงสัยจะได้งานแล้วมั้งแต่งตัวซะสวยเชียว" อัญชลิกายิ้มวางจานผลไม้

          "เมื่อกี้ก็ถามแล้วนะเผื่อจะให้คุณเกียรติให้เค้าช่วย เชอะ ทำเป็นหยิ่ง" จงธรรมหยิบพวงองุ่นในจานเข้าปาก "ให้เป็นอาจารย์ก็ไม่เอา"

          "ปล่อยแกบ้างเถอะค่ะ ยัยนลินน่ะคำก็อยากจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองสองคำก็อยากจะประสบความสำเร็จไวๆ แถมยังดื้อเหมือนใครแถวนี้ก็ไม่รู้ .." อัญชลิกาประชด
   
          "แต่ผมไม่ดื้อนะ" จงธรรมเถียงตาใส
         
..........

ห้องประชุมเล็กชั้นสามสิบสาม นลินกับเพื่อนสาวนั่งนิ่งหลังจากพรีเซนต์จบไปในการประชุมรอบเช้า คุณเกียรติหลับตาใช้ความคิดบวกลบข้อดีข้อเสีย

          "แต่ซาวด์หลอกๆนี่ไม่ได้เลยนะ ผมเกลียดมาก"

          "รับรองไม่หลอกค่ะเพราะเราใช้วิธีเล่นจริงในสถานที่จริงแล้วก็บันทึกเสียง ฟังไม่หลอกแน่นอนค่ะ" เพื่อนสาวของนลินออกปากรับรอง

          "ถ้าตัดตรงนี้ไปเราลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เท่าไหร่นะขออีกทีซิ" เขาหันไปถามเลขาส่วนตัว
          "ยี่สิบห้ารอบ ถ้าไม่มีวงดนตรีเล่นสดจะลดค่าใช้จ่ายไปได้ร่วมห้าล้านบาทค่ะ"

          "แต่ว่าพี่ แบบ .. หลงไหลมากนะ ละครเวทีที่มีวงเล่นสดๆล้อกันไปมันคือสเน่ห์ ของมันต้องมี โรงละครที่อังกฤษ ชื่ออะไรนะ"

          "ลอนดอนเธียเตอร์ค่ะ" นลินเสริม

          "ใช่ ! เคยไปใช่ป่ะ!! ฟีลวงออเคสตร้าสดๆมันสุดยอดมากนะ บึ้ม!! เหมือนเสียงระเบิดอ่ะ พีเอพี่ว่าเอาไม่อยู่หรอก"

          "เอาอยู่สิคะพี่ พี่เกียรติจะเอาให้สมจริงดอลบี้เซอร์ราวด์เก้าจุดหนึ่งแบบลำโพงในโรงหนังเลยก็ยังได้" นลินยืนยัน "ถ้าตั้งราคาขายบัตรใบละสามร้อยปอนด์แบบที่อังกฤษเรื่องเล่นสดก็คงไม่มีปัญหาค่ะ"
          "ก็นั่นน่ะสินะ ว่าแต่ถ้าลดลงไปได้ตั้งห้าล้านก็น่าสน" คุณเกียรติบ่นพึมพำ

พนักงานสาวนำจงธรรมมาถึงห้อง เขาสะดุ้งตกใจที่เห็นลูกสาวนั่งอยู่ในที่ประชุม

          "พี่จง สวัสดีครับ" คุณเกียรติยืนยกมือไหว้

          "เอ่อ.. ส ..วัสดี ครับ" จงธรรมยังงงไม่หาย นลินยืนขึ้นยกมือไหว้กล่าวสวัสดีไม่สบตาพ่อ

          "นั่งก่อนพี่ วันนี้ที่เชิญพี่จงมาพอดีมีเรื่องจะปรึกษา" สมนึกยิ้ม "เรื่องละครเพลงผมอ่ะพี่" จงธรรมรับฟัง เขาตั้งใจจะเล่นตามน้ำไปเรื่อยจนกว่าจะรู้ว่านลินตั้งใจจะทำอะไร "คืองี้พี่จง พี่ก็รู้ใช่มั้ยว่าผมชอบทำอะไรแบบที่ให้มันสุดจริงๆเราลุยด้วยกันมาตั้งกี่งานแล้วไม่สุดผมไม่ทำหรอก แต่.."

          "ครับ.."

          "ทางทีมของน้องสองคนเนี่ยเสนอว่าถ้าเราใช้วิธีบันทึกเสียงแทนการเล่นสดในทุกๆรอบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก" คุณเกียรติถอนหายใจ "ผมเกรงใจนะ แต่ก็เกรงว่าทางเลือกนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดกับสภาวะเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงอย่างทุกวันนี้ งานส่วนอื่นจะได้เดินต่อได้ผมจะได้ทำให้มันจบๆซะที เบื่อแล้วเนี่ย"

          "ในทางเทคนิคอัดเสียงไว้มันก็ได้ แต่ก็คงจะฟังดูหลอกๆ" จงธรรมเหลือบมองลูกสาว

          "ไม่หลอกค่ะแน่นอนค่ะ เราบันทึกเสียงในสถานที่จริงใช้มิกเซอร์และชุดลำโพงเดียวกับที่ใช้ในวันแสดงควบคุมการมิกซ์ดาวน์รับประกันอีกชั้นด้วยหูของดิฉันเอง  รับรองว่าละครเพลงเรื่องนี้จะยังได้อรรถรส แตกต่างกันเพียงมองไม่เห็นวงดนตรีก็แค่นั้นค่ะ" นลินเถียงจงธรรม

          "จากยี่สิบกว่ารอบกลายเป็นไม่ได้เล่นซักรอบ ผมไม่รู้จะกลับไปบอกลูกวงยังไงดี" จงธรรมเหลือบมองลูกสาว ดวงตาเธอว่างเปล่าและเย็นชา

..........

จากตึกแกรมมี่จนถึงบ้านพ่อลูกไม่มีใครพูดอะไรสักคำ กรพินธุ์ทะยอยนำอาหารเย็นเสริฟบนโต้ะ

          "คุณเกียรติเค้ารู้มาก่อนมั้ยว่าเราสองคนเป็นพ่อลูกกัน" จงธรรมถาม
          "คนจ้างเค้าจะสนใจทำไมว่าคนในทีมงานชื่อนามสกุลอะไรกันบ้าง" นลินตอบไม่สบตา

          "แล้วบริษัทของลินกับเพื่อนนี่คือต้องระรานคนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้งานแบบเนี้ยเหรอ" จงธรรมพยามปรับน้ำเสียงให้เรียบ "คิดบ้างมั้ยว่าไม่ได้เล่นตั้งเกือบสามสิบรอบรายได้หายไปคนละเท่าไหร่"

          "ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ค่ะ ในส่วนของผู้ประพันธ์ลินจ่ายให้พ่อเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีต่อราคาแม้แต่บาทเดียว แถมยังเพิ่มค่าควบคุมวงในวันบันทึกเสียงต่างหากอีกด้วย"

          "จะยอมมาเล่นกันซักกี่คน คุณเกียรติทำแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ" จงธรรมถอนหายใจส่ายหน้า

          "ถ้าคุณพ่ออยากเสริมเพิ่มเติมตำแหน่งไหนเครื่องไหนบอกเลยนะคะ ลินรับรองว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เก่งๆกันทั้งนั้นใครไม่ยอมเล่นเดี๋ยวลินหาสำรองเสียบให้ค่ะ" นลินพูดสีหน้าเรียบเฉย

          "ตอนลินอยู่ที่ปรากทุกคนต่างแก่งแย่งแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่ง คนเก่งที่สุดอยากจะเล่นกับใครก็ได้หรือไม่อยากจะเล่นกับใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นเพื่อน แค่รู้ระดับฝีมือว่าเก่งพอจะเล่นด้วยกันได้ ทุกอย่างคือธุรกิจ"

          "งั้นถ้าเกิดว่าพ่อปฏิเสธไม่ยอมให้ใช้เพลงล่ะ ..ก็แค่ธุรกิจสินะ" จงธรรมขู่

          "ละครเพลงเรื่องนี้คือจุดเริ่มต้นความฝันของหลายๆคน ถ้ามันจะต้องจบลงเพราะพ่อก็ตามใจค่ะ" นลินลุกขึ้นคว้ากระเป๋า

          "ลินจะไปไหนลูก" อัญชลิกาเงียบฟังพ่อลูกทะเลาะกันอยู่นาน
          "ไปนอนคอนโดเพื่อนค่ะ ขืนอยู่บ้านมีหวังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น"
     
          "ลิน! นั่งลงกินข้าวต่อเดี๋ยวนี้เลย" จงธรรมชี้นิ้วออกคำสั่ง

          "สวัสดีค่ะคุณพ่อ" นลินยกมือไหว้

..........

ไม่น่าเชื่อว่าเพียงห้องครัวแคบกระจิ๊ดริดกับเครื่องครัวเพียงไม่กี่ชิ้นเทียนฉายจะรังสรรค์เมนูอาหารได้น่ากินขนาดนี้

          "ไก่โคลัมโบ หมูย่างซอสส้ม และก็มันฝรั่งบดเละๆแบบที่คุณชอบ" นลินยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปแต่ไม่กล้าโพสเพราะกลัวจะมีใครเห็น

          "ทานซะก่อนจะได้หายโมโหหิว" เขายิ้มอบอุ่น
          "คุณว่าเราโมโหหิวเหรอ" นลินหน้านิ่ว
          "เปล่าจ้ะ .."

          "พ่อคุณท่านก็คงจะห่วงเพื่อนๆน่ะ อยู่ดีๆงานหายไปเกือบสามสิบรอบ"
          "ไม่ใช่อยู่ดีๆนะคุณ จริงๆพอสปอนเซอร์ถอนเค้าก็แทบจะเลิกล้มไม่จัดแล้ว ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ลดลงจะได้เอาไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ งานจะได้ไปต่อ" นลินร่ายยาว

          "อร่อยมั้ย.."
          "อร่อยค่ะ อร่อยทุกอย่างเลย" นลินยิ้มออก หรือว่าตัวเองจะโมโหหิวจริงๆ

          "เรากับพ่อทะเลาะกันจนชินแล้ว" นลินตักมันบดเข้าปาก "นี่ก็เลยว่าจะมาอยู่กับคุณซักพัก"
          "จริงป่ะเนี่ย.." เทียนฉายยิ้มแก้มแทบปริ
          "จริง ขี้เกียจอยู่บ้าน อยู่ซักสองสามวันแล้วค่อยกลับ"
         
          "งั้นเดี๋ยวคุณทานเสร็จแล้วเราออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตกัน พรุ่งนี้เช้าผมจะทำข้าวต้มกุ้งกับออเดิร์ฟชุดอาหารเช้าให้คุณทาน" เทียนฉายอารมณ์ดี

          "ค่ะ.. " เพราะของกินอร่อยๆหรือเพราะแฟนหนุ่มกันแน่ ที่ทำให้นลินหายขุ่นข้องหมองใจได้ไวขนาดนี้

....................

ห้องโถงศูนย์ฝึกวิชาชีพผู้พิการทางโสต วศินเดินคุยกับผู้อำนวยการศูนย์เรื่องรับผู้พิการเข้าทำงาน

          "ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณวศินมากนะคะที่ให้โอกาสรับนักเรียนจากทางศูนย์เข้าทำงานอย่างต่อเนื่อง"
          "ยินดีครับ อันที่จริงผมชื่นชมความตั้งใจและความมีสมาธิจดจ่อกับงานของพนักงานที่รับจากศูนย์ฝึกวิชาชีพแห่งนี้มาก ถ้าสามารถช่วยเหลือเพิ่มเติมอะไรได้อีกก็ยินดีนะครับ" วศินยิ้ม

          "ถ้างั้นผมขอตัวเลยนะครับพอดีว่าจะกลับเข้าบริษัทกลัวรถติด"
          "เชิญค่ะ ขอบพระคุณนะคะ" ผู้อำนวยการศูนย์รับไหว้

วศินเดินผ่านอาคารฝึกงานไปที่จอดรถ พลันรายการเสียงตามสายดังจากลำโพงแนะนำเข้ารายการ หนังสือเสียง 'นางนวล โดย โจนาธาน ลิฟวิงสตัน ..' เขาหยุดเดิน ยืนฟังตั้งใจ   

          'มันบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าหนึ่งร้อยฟุต ลดเท้าที่ติดกันลง เชิดปากขึ้น กระชับปีกเข้าหากันเพื่อหักมุมเลี้ยวที่แสนยากเย็น เมื่อมันเลี้ยวโจนาธานก็บินได้ช้าลง และเมื่อมันบินช้าๆ สายลมก็พัดผ่านหน้าราวกับเสียงกระซิบ

เบื้องล่างท้องทะเลดูสงบนิ่ง โจนาธานหรี่ตาตั้งสติแน่วแน่กลั้นหายใจ แล้วก็บังคับให้ตัวหักมุมเลี้ยวมากขึ้นอีกหนึ่งนิ้วฟุต แต่แล้วขนของมันก็กระจุย มันชงักเสียหลักตกลงมา'

เสียงของผู้เล่าช่างไพเราะน่าฟัง เขาจำเสียงนี้ได้ภาพใบหน้าของเธอลอยขึ้นมา

          "เอ่อ .. พี่ครับ พี่.."
          "ครับ.. ว่าไง" ชายตาบอดใช้ไม้เท้าเดินผ่านมา

          "เสียงที่กำลังออกรายการอยู่นี่เค้าบันทึกเทปไว้เหรอ" วศินถาม
          "อ๋อ เสียงน้องกรพิธุ์ .. น้องกรพินธุ์จะมาจัดรายการอ่านหนังสือทุกบ่ายวันอังคาร คนติดรายการนี้กันงอมแงมเลย" ชายผู้พิการทางสายตายิ้มบอก

          ".. บ่าย วันอังคาร ก็วันนี้น่ะสิ" วศินรำพึง "ห้องกระจายเสียงอยู่ตรงไหนครับ!" วศินละล่ำละลักถามชายตาบอด
         
          "เอ่อ.. คุณเดินไปตามทางนี้นะ" ชายตาบอดชี้ทาง "พอพ้นอาคารก็เลี้ยวขวาเดินไปอาคารสอง ชั้นสามห้องที่สี่หน้าห้องจะมีป้ายเขียนว่าห้องโสตทัศนศึกษา ไม่หลงหรอก"

          "เอ่อ .. รบกวนขออีกทีครับผมจำไม่ได้"

          "เออ งั้นเดี๋ยวเดินไปส่งเลยก็แล้วกัน ตามมา"
          "ขอบคุณครับ" วศินเดินตามชายพิการทางสายตาแกว่งไม้นำทางดังก็อกแก๊ก

'โจนาทาน นกนางนวลผู้ออกบินข้ามขอบฟ้าไกลอย่างไม่ย่อท้อ ผจญคลื่นลม พายุฝนและความหนาวเหน็บ แต่โจนาทานไม่เคยหยุดบิน มันเพียงแต่อดทนฝ่าขีดจำกัดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ค้นหาความหมายของชีวิตผ่านการเดินทางอันดูจะไม่สิ้นสุด แม้จะต้องเผชิญกับสายตาเหยีดยหยามจากฝูงนางนวลที่รู้สึกว่าโจนาทานช่างแปลกแยกเสียเหลือเกิน'

วศินยืนยิ้มพิงกำแพงฟังบทประพันธ์เรื่องนางนวลอย่างเพลิดเพลิน น้ำเสียงฉะฉานสดใสแบ่งวรรคตอนฟังหวะจะโคนน่าฟัง มองผ่านกระจกบานเล็กจากด้านหลัง กรพินธุ์ใส่เฮดโฟนนั่งอ่านหนังสือในห้องเก็บเสียงอย่างตั้งใจ

          "น่ารักใช่มั้ยล่ะ" ชายตาบอดยิ้มถาม
          "น่ารักครับ ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าเธอน่ารักล่ะ มองไม่เห็นไม่ใช่เหรอ" วศินแซว

          "น้องกรพินธุ์เป็นไง อ้วนมั้ย"
          "ไม่อ้วนครับ หุ่นผอมบางตัวเล็กๆ"

          "ผมสั้นหรือผมยาว"
          "ผมประบ่าครับ" วศินตอบ

          "เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าน่ารัก" ชายตาบอดหัวเราะร่วน

วศินตัดสินใจเดินกลับออกมาก่อนทั้งที่อีกใจก็อยากรอเจอกันแต่เขาทำหน้าไม่ถูก กลัวเวลาที่ได้สบตากับเธอ กลัวกลิ่นน้ำหอมแสนรัญจวนใจ กลัวตัวเองจะพลั้งเผลอใจคิดเหลวไหลกับหลานสาวคนสวยอีก ชายที่ตกอยู่ในนรกแห่งบ่วงกามรมณ์อย่างเขาเหมาะสมแล้วที่จะคอยชื่นชมอยู่ห่างๆ แบบนี้ล่ะดีแล้ว

..........

ห้องนวดตัวสปาหรูโรงแรมหกดาวย่านสาธร เสียงเพลงแนวผ่อนคลายดังแว่วโชยกลิ่นสมุนไพรหอมโล่งจมูก สองสาวสองวัยนอนนวดตัวอยู่ที่เตียงข้างกัน

          "ตอนพี่สิริอยู่ฮ่องกง แป้งว่าไม่มีสาวสังคมคนไหนในเมืองไทยโดดเด่นทดแทนพี่สิริได้ซักคน" ประธานพร เพื่อนสาวรุ่นหลานนอนนวดอยู่ข้างๆประจบเอาใจสาวไฮโซสาวรุ่นใหญ่ 

          "แหม น้องแป้งก็ชมซะพี่ลอยเลยไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ สมัยนี้ดาราสวยๆเยอะแยะจะเสริมเติมแต่งศัลยกรรมยังไงก็ได้ แต่ถ้าย้อนไปสมัยเมื่อยี่สิบปีที่แล้วล่ะก็ พี่ไม่เถียง สวยแบบของแท้ๆค่ะ" ไม่มีคำว่าถ่อมตัวในพจนานุกรมของสิริยากร

          "ว่าแต่น้องแป้งเถอะ พักนี้พี่ไม่ค่อยเห็นเล่นละครหายหน้าหายตาไปเลย"
          "อ๋อ พอดีแป้งต้องช่วยพี่เกียรติดูหลังบ้านด้วยน่ะค่ะ ไหนจะนัดคิวดาราไหนจะคุมการเงิน ยุ่งน่ะค่ะ" ประธานพรออกตัว

          "แหม.. ยุ่งขนาดนั้นยังมีเวลามาขัดตัวอบผิวอีกนะคะ แต่ก็ดีแล้วล่ะ"

          "เอ่อ .. พี่สิริคะ พอดีงานปาร์ตี้เดือนหน้าทราบว่าพี่โป๊ดเชิญพี่สิริด้วย แป้งอยากไปอ่ะขอติดไปด้วยคนนะคะ" เพื่อนสาวรุ่นหลานอ้อน
          "พี่ก็ต้องไปกับแฟนพี่สิคะ น้องแป้งไปกับคุณเกียรติสิระดับคุณเกียรติต้องได้รับเชิญอยู่แล้วล่ะ"

          "ค่ะ.." แป้งหน้าสลด

          "คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอว่าคุณเกียรติแกเป็นคนยังไง คุณเกียรติแกชอบคนสวย ทางที่ดีพี่ว่าน้องแป้งควรรีบถอยออกมาหาคบใครเป็นตัวเป็นตนก่อนที่จะสึกหรอมากไปกว่านี้ดีกว่า คุณเกียรติน่ะเค้าเป็นเสือถึงอายุอานามจะมากขึ้นแต่ก็เป็นเสือซ่อนเล็บ ไม่ใช่เสือสิ้นลาย"

          "ถ้าคิดว่าเอาอยู่ล่ะก็พี่บอกได้เลยว่าน้องแป้งคิดผิดถนัด อย่าเอาเรื่องผันตัวไปทำเบื้องหลังมาโกหกพี่เลยค่ะ"

แป้ง ประธานพรหน้าม้านสบถในใจไม่น่าชวนอีนี่คุยเลย สิริยากรหลับตาสงบนิ่ง เธอไม่เคยรักษาน้ำใจใคร ไม่สนใจความรู้สึกใครทั้งนั้น

..........

สี่ปีที่แล้ว เมืองฮกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

สี่ทุ่มกว่า บรรยากาศบนชั้นสองของร้านเนื้อย่างชื่อดังกำลังคึกคักผู้คนคุยกันเสียงดังควันบุหรี่คละคลุ้ง แป้ง ประธานพร ดาราสาวมีผลงานละครเย็นคุ้นหน้าคุ้นตาทางช่องน้อยสีเดินออกมาคุยโทรศัพท์นอกร้าน

          "ฮัลโหล ฮัลโหล .. เวศน์ ได้ยินรึยัง"
          "ได้ยินแล้ว แต่เมื่อกี๊เสียงดังมากอย่างกับอยู่ในตลาด"
          "อยู่ร้านเนื้อย่าง นี่ออกมาคุยนอกร้าน หนาวมาก" ปอยหิมะปลายเดือนพฤจิกาลอยตามลมแรง

          "เออก็ไม่มีอะไรแค่จะบอกว่าคิดถึงนะ แล้วเดี๋ยววันกลับเวศน์ไปรับที่สนามบิน"
          "จ้ะ เดี๋ยวซื้อของไปฝาก"

ทันทีที่เปิดประตูร้านกลิ่นบุหรี่ลอยเตะจมูกจนแทบผงะ แป้งทรุดตัวลงนั่งข้างพี่เงาะผู้จัดการส่วนตัว

          "โทรศัพท์เหรอ" พี่เงาะถาม
          "อื้ม.. โทรหาเวศน์"
          "แฟนไม่อยู่หนูร่าเริง ป่านนี้ร่อนไปทั่วแล้วมั้ง" พี่เงาะแซว
          "ไม่หรอกพี่ คนอย่างเวศน์ไว้ใจได้" ประธานพรยิ้ม   

          "เอ้า .. กัมปาย ชน ชน" พี่นิดผู้จัดละครชวนทุกคนชนแก้ว "หมดแก้ว.." เหล้าโซจูใสอย่างกับตาตั๊กแตนฝาดเฝื่อนคอ แป้งทำหน้าเหยเก

เกียรติพงศ์ไฮโซหนุ่มใหญ่เพิ่งเดินทางตามมาสมทบจากเมืองไทยหน้าแดงกึ่มเบียร์ตั้งแต่มาถึง เขาสะกิดพี่นิดตามแผนที่นัดหมายกันไว้ก่อนหน้า

          "เอ่อ .. แป้งจ๊ะ นี่คุณเกียรติพงศ์ เจ้าของมีเดียเอเจนซี่ระดับแถวหน้าของเมืองไทย เพิ่งก้าวขึ้นสู่ทำเนียบผู้จัดมือใหม่" พี่นิดแนะนำ
          "สวัสดีค่ะ" เกียรติพงศ์ยิ้มยกมือรับไหว้

          "คืองี้ คุณเกียรติเค้าสนใจขอให้พี่ทาบทามแป้ง พี่ก็เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่แป้งจะได้ลองค้นหาความท้าทายใหม่ๆ"

          "แล้วแต่พี่นิดเห็นสมควรแล้วกันค่ะ" แป้งก้มหน้าหลบสายตาเจ้าชู้
          "คุยกันเองแล้วกัน พี่แนะนำให้รู้จักกันแล้วนี่" พี่นิดยกเหล้าโซจูขึ้นจิบ

          "คืองี้ครับ ผมอยากให้คุณแป้งลองพลิกบทบาทจากนางเอกมารับบทนางร้ายดูบ้าง ตามบทละคร โสภิตา เธอเป็นสาวสังคมที่สวยเซ็กซี่มากแต่ร้ายลึก ปั่นหัวผู้ชายมากหน้าหลายตาเพื่อผลประโยชน์ของตน" แป้งสบตาผู้จัดการส่วนตัว

          "เรียกว่าเป็นตัวเอกของเรื่องเลยก็ว่าได้ คนที่จะรับบทโสภิตาต้องสื่อสารอารมณ์ผ่านสายตา ผมว่าคุณแป้งเหมาะสมกับบทนี้มาก"

          "แหม แบบนั้นเค้าไม่เรียกนางร้ายค่ะคุณเกียรติ ก็นางเอกนี่แหละ แต่แค่ไม่เรียบร้อย" พี่นิดท้วง
          "แต่ร้ายนะครับ ร้ายลึกๆ" เกียรติพงศ์ยังยืนยัน

..................... 

แป้งยังเจ็บใจไม่หายเรื่องที่ถูกไฮโซสาวรุ่นใหญ่เชือดเฉือนด้วยคำพูด ใครๆก็รู้ว่าเธอปากเปราะแทบไม่มีใครอยากเสวนาด้วย แต่จะว่าไปคำพูดของสิริยากรก็มีส่วนถูก นับจากวันที่เธอปลงใจอยู่กินกับคุณเกียรติเกือบสามปีเขาไม่เคยเอ่ยเรื่องแต่งงานเลย พลันหวนคิดถึงนิเวศน์แฟนหนุ่มที่คบกันตั้งแต่มหาวิทยาลัย ถ้าไม่ติดว่าเป็นดาราป่านนี้เธอคงจะแต่งงานกับเขาไปแล้ว

          "อยากให้พี่แต่งแบบไหนคะน้องแป้ง กาล่าดินเนอร์หรือว่าปาร์ตี้ส่วนตัวใต้แสงจันทร์" พี่แบมช่างแต่งหน้าคู่บุญถาม
         
          "ปาร์ตี้ส่วนตัวสองคนใต้แสงจันทร์ค่ะ" แป้งตอบ
          "แหม อิจช้าาอิจฉาคนมีคู่ .. ปาร์ตี้ส่วนตัวไม่ต้องเจอใคร เอาแบบแต่งบางๆ เด็กๆสดๆมั้ยคะ พวกผู้ชายน่ะชอบผู้หญิงหน้าสดจะตายไปเผื่อจะมีซัมติงกันต่อหน้าเหนอะๆจูบไปเจอแต่งแป้ง เสียอารมณ์"

          "พี่แบมแต่งหน้าเอฟเฟกได้มั้ยคะ แบบพวกวันฮาโลวีนน่ะ"
          "ทำไมคะ จะไปงานแฟนซีเหรอ"
          "ตรงมุมปากแต่งให้เหมือนปากแตก ตรงแก้มเหมือนโดนตบส่วนตาให้เหมือนโดนต่อยได้มั้ยคะ" แป้งชี้ตำแหน่งบนหน้าตัวเอง
         
          "งานอะไรคะเนี่ยน้องแป้ง น่ากลัวจัง" พี่แบมช่างแต่งหน้าคิ้วขมวด

..........

เกือบเที่ยงคืน เวศน์เปิดประตูห้องเจออดีตสาวคนรักใส่หมวกปีกกว้างสวมแว่นกันแดดยืนอยู่กับรปภ.

          "คุณแกจะขึ้นมาบนห้อง ผมเลยเดินมาส่ง โอเคนะครับคุณเวศน์" รปภ.ถาม
          "โอเค ขอบคุณครับ" นิเวศน์ตอบ เปิดประตูกว้างให้เธอเข้าห้อง

          "เห้ย!! ถ้าทำกันถึงขนาดนี้แจ้งตำรวจเหอะ" นิเวศน์เลือดขึ้นหน้าทันทีที่เห็นร่องรอยฟกช้ำ เขาจะแตะแต่อดีตแฟนสาวเบือนหน้าหนี แป้งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบางเห็นรอยเสื้อชั้นในกางเกงกีฬาขาสั้นจุ๊ดเผยเรียวขาขาว นิเวศน์นึกถึงคืนวันที่เขาและเธอยังหวานชื่นกอดก่ายสวีทกันในห้องเช่าเล็กๆ

          "แป้งจะเลิกกับเค้า เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ นะ เวศน์" แป้งเขยิบประชิด "แป้งไม่อยากได้อะไรอีกแล้วชื่อเสียงเงินทอง รู้แล้วว่ามันไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับกับความรักของเวศน์"

แป้งจูบซุกสะอื้นกับหน้าอกนิเวศน์ลูบไล้ขาอ่อนจูบที่เรือนผม เธอเงยหน้าขึ้นรับริมฝีปากประกบจูบดูดดื่ม  

....................

จากผู้เขียน

บังคับตัวเองให้เขียนยาวๆอยากจะลองเริ่มทางนิยายอีบุ๊ค เสียวบ้างไม่เสียวบ้างแต่ตั้งใจนำเนื้อหามาลงให้อ่านก่อนใคร ยิ่งเขียนยิ่งออกทะเลเวิ้งว้างกลัวจะไม่สนุก ทุกคอมเม้นคำติชมร่วมเสนอแนะล้วนทรงคุณประโยชน์แก่นักเขียนมือใหม่

ขอบพระคุณที่ติดตามครับ
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Pento


err

พอไปไม่รอดแล้วก็กลับมาหารักเก่า นิเวศน์จะไหวไหมเนี่ย

xonly-1786

ขอบคุณมากครับ ยังสับสนกับตัวละครอยู่ เอาใจช่วย นลินนะขอให้ประสพผลสำเร็จในงานนี้ครับ

mark5111

ไปมีคนใหม่มา3ปี พอจะกลับมาพูดง่ายๆเลย

po3026


ones26421


jaojom

แป้งร้ายนะครับเนี่ย วางแผนลึกเชียว

gumpxxxx

เขียนสนุกดีครับ ตัดสลับฉากเรื่อยๆไม่น่าเบื่อ อ่านสนุกครับ

lukpuman


bbkja555


naja313


จรัญ บุญชู

ตัวละครเด็ดๆเผยชื่อออกมา...ทั้งมีชู้ทั้งเร่าร้อน...งานนี้มีเฮมั่วกันชุลมุน

egowin

กรอบเรื่องและตัวละครมากขนาดนี้ น่าจะเป็นเรื่องยาว ชิงรัก หักสวาท

retirenavy