ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_llOUllnJllUUllSJllSJ

จ้าวโลก EP.22 (NTR/Harlem/Super Power)

เริ่มโดย llOUllnJllUUllSJllSJ, เมษายน 12, 2021, 03:48:31 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

llOUllnJllUUllSJllSJ

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก xonly8 อ่านเต็มได้ที่ https://fictionlog.co/b/6053b2ece9cbb4001caf362f


แสงแดดที่ทะลุลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องนั้นเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกที่บ่งบอกให้ผมรู้ตัวว่าเช้าแล้ว ผมตื่นขึ้นมาพบว่า อีฟยังคงอยู่ในอ้อมกอดผม เธอนอนตะแคงหันหลังให้และจับมือผมที่นอนกอดเธอจากข้างหลัง ทำให้ผมนึกย้อนถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่ผ่านมา

แม้ว่าผมจะเรียนที่มหาวิทยาลัยอินเตอร์ ที่มักจะมีวันหยุดคริสมาสต์ให้ แต่ผมก็ไม่เคยอินอะไรกับวันคริสมาสต์ไม่ว่าจะปีไหนๆก็ตาม สำหรับผมเองแล้ว วันคริสมาสต์ ก็เป็นวันที่ผมจะได้ยินเพลงของ Michael Bubble ดังวนไปเวียนมาในทุกๆห้างในกรุงเทพฯเท่านั้น

แต่ปีนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมอยากขอบคุณพระเยซูที่ทำให้มีวันคริสมาสต์วันนี้ ทั้งๆที่เกี่ยวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เพราะมันทำให้เรื่องราวของผมกับอีฟยิ่งดูโรแมนติคไปอีก เพราะในสายตาของผมแล้ว อีฟคือของขวัญวันคริสมาสต์ที่ผมดีใจที่สุดที่ได้รับ

อีฟขยับพลิกตัวนอนหงายและหันไปดูนาฬิกาที่วางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ทำให้ผมรู้ว่า เธอตื่นแล้ว

"ตื่นแล้วเหรอ" ผมถามเธอ

"อือ พี่ตื่นนานแล้วเหรอ" อีฟถามผมกลับ

"เพิ่งตื่นเมื่อกี๊เหมือนกัน"

"โอยยย" อีฟร้องขึ้นมาตอนที่พยายามจะลุกขึ้นมานั่ง

"เป็นอะไรอีฟ" ผมถามเธอด้วยความตกใจ

"มัน.. เอ่อ.. มันแสบ ระบมอะ" อีฟบอกผมเสียงเบา ทำให้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าเธอเป็นอะไร

"อ่อ ไหวมั้ย" ผมถามเธอกลับไปด้วยความเป็นห่วง

"เหมือนจะไม่สบายนิดๆ"

"งั้นเดี๋ยวพี่เอายาพาราฯให้กิน" ผมบอกเธอ ตั้งใจว่าจะลงไปซื้อยาให้ แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าต้องไปซื้อที่ไหนก็ตาม แต่ก็คงจะไม่เกินความสามารถมั้ง

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หายแหละ" อีฟว่า

"เอ้อ พี่ขอโทษนะ" ผมพูดพลางลูบหัวเธออย่างทะนุถนอม

"ย่ะ ไอ้คนลามก" อีฟเบ้หน้าพลางลุกขึ้นเอาผ้านวมคลุมกาย

"แน่ะ ว่าพี่ทำไม เมื่อคืนยังดีๆอยู่เลย เดี๋ยวก็ฉีดยาอีกซักเข็มให้หายป่วยซะเลย" ผมเห็นเธอเริ่มจะกลับมาปกติ เลยแซวเธอเล่น

แต่แล้วก็มีหมอนปลิวมาจากมือเธอเข้าหน้าผมเต็มๆ และเสียงต่อมาของอีฟทำให้ผมรู้ว่า เธอไม่ได้ป่วยอะไรมากนัก

"ไอ้พี่บ้าลามก อีฟไปอาบน้ำแล้ว" อีฟบอก หมอนที่เธอขว้างมาปิดหน้าผม ทำให้ผมไม่เห็นว่าเธอเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงด่าแบบนี้ ผมก็เบาใจแล้วว่า เมื่อคืนเธอไม่ได้เมาจนไม่รู้เรื่อง และความสัมพันธ์ของเราเป็นเรื่องจริง..


........


"ว่าแต่วันนี้เราจะไปไหนกัน" ผมถามเธอระหว่างอาหารมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม

"เมื่อวานเวลาน้อย กว่าพี่จะตรวจร่างกายเสร็จกว่าจะได้เที่ยวก็เย็นๆแล้ว เดี๋ยววันนี้อีฟพาทัวร์เมือง" อีฟบอกพลางจิ้มเบค่อนเข้าปาก

"ไปทัวร์เมืองหรือไปช้อปปิ้ง เอาดีๆ" ผมทำหน้าเบื่อแซวเธอ

"ช้อปปิ้งนั่นแหละ รู้แล้วจะถามทำไม" อีฟลอยหน้าลอยตาพูดยิ้ม

"อีฟ.. พี่รักอีฟนะ" อยู่ดีๆผมเปลี่ยนเรื่องพูดซะงั้น เล่นเอาอีฟแทบสำลักเบค่อน

"ไอ้บ้า อะไรของพี่เนี่ย" อีฟหน้ามุ่ยขมวดคิ้วมองหน้าผม ผมสังเกตุว่าแก้มเธอแดงหน่อยๆ อา.. เพิ่งจะเคยเห็นอีฟเขินเต็มตาก็วันนี้

"ก็แค่อยากบอก ว่าอีฟเป็นของขวัญคริสมาสต์ชิ้นแรกในชีวิตที่พี่เคยได้ แถมเป็นชิ้นที่ดีที่สุดด้วย" ผมเอื้อมมือไปกุมมือเธอพร้อมกับป้อนคำหวาน แน่นอน อีฟพยายามจะชักมือหนีพร้อมกับมองซ้ายมองขวา

"อะไรของพี่เนี่ย อายคนอื่นเค้า" อีฟพยายามดึงมือเธอกลับอย่างเขินอาย แต่มีเหรอ ที่แรงผู้หญิงอย่างเธอจะสู้ผมได้

"อายทำไม เราคุยกันภาษาไทย ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษซักหน่อย คนอื่นไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าพูดภาษาอังกฤษก็พอว่า.. แบบนี้" ผมเว้นประโยคก่อนจะหันไปพูดกับฝรั่งชายหญิงโต๊ะข้างๆ

"Execuse me, I just wanna tell you that I really love this women and I can't live without her. (ขอโทษนะครับ ผมแค่อยากบอกคุณว่า ผมรักผู้หญิงคนนี้มาก และผมอยู่ไม่ได้จริงๆถ้าไม่มีผู้หญิงคนนี้)"  เป็นไงล่ะ ถึงภาษาอังกฤษผมจะห่วย แต่ก็พอจะมั่วๆไปบ้างแหละ

พอผมพูดออกไป อีฟตาโตเขินและตีแขนผมทันที ส่วนฝรั่งสองคนนั้นเหรอ พูดอะไรมาสักอย่าง ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก บอกแล้วว่าภาษาอังกฤษผมห่วย แต่ผมเดาว่าพวกเขาคงยินดีกับเรานะ


หลังอาหารมื้อเช้านั้น เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เพราะตั้งใจว่าจะไปเที่ยวกันก่อน แล้วค่อยกลับมาเอากระเป๋าและไปเข้าพักที่โรงแรมใหม่ เพราะน้าพลอยจองโรงแรมนี้ได้แค่ 2 คืน วันอื่นที่เหลือเราต้องย้ายไปอีกโรงแรม แต่ก็อยู่ในเมืองนี้แหละ

อีฟพาผมกลับมาบริเวณหน้าสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เธอตั้งใจจะพาผมนั่งเรือทัวร์รอบคลองอัมสเตอร์ดัม โดยจุดขึ้นเรือนั้นมีหลายจุดทั่วเมือง แต่ตรงนี้เป็นจุดที่ใกล้โรงแรมที่เราพักที่สุด

อัมสเตอร์ดัมนั้น หลายคนเรียกว่า เวนิสแห่งยุโรปตะวันตก ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีคลองสาขาทั่วเมืองไปหมด ทำให้ภาพจำของเมืองนี้ เต็มไปด้วย เรือ คลอง สะพานเล็กๆ และหนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว คือการนั่งเรือทัวร์เมืองนั่นเอง โดยทั่วไป มักจะมีไกด์ทัวร์พาลูกทัวร์มาขึ้น แต่แน่นอน สำหรับผมแล้ว ผมมีไกด์ส่วนตัว ที่แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่นี่ แต่ด้วยความที่เธอเคยมาอยู่ที่นี่พักหนึ่งในตอนเข้าแคมป์ UNX ทำให้เธอทำหน้าที่เป็นไกด์ได้อย่างไม่เคอะเขิน

เราเลือกเรือของบริษัทหนึ่ง มันเป็นแค่เรือยาวๆที่มีหลังคากระจกปิดทึบรอบด้าน ในช่วงหน้าร้อน กระจกนั้นจะเปิดออก แต่พอเป็นหน้าหนาวแบบนี้ การเปิดกระจกออกเพื่อรับลมหนาวคงไม่ใช่เรื่องสนุกซักเท่าไหร่ บนเรือมีคนเยอะพอสมควร แต่ก็ยังมีที่ให้ผมกับอีฟได้นั่งดูวิวทิวทัศน์สองฝั่ง

ผมยอมรับว่าวิวทิวทัศน์ของอาคารบ้านเรือนสไตล์ยุโรปที่สองฝั่งนั้นดูสวยงามแลดูมนต์สะกด แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับความสวยงามของอีฟ เธอเป็นเหมือนผลงานรูปปั้นจากจิตรกรเอก จนฝรั่งหลายคนยังแอบหันมามองเธอ โดยเฉพาะแขกขาวหนุ่มสองคนที่ใส่แจ็คแก็ตดำแว่นกันแดดสีดำ ผมเห็นทั้งคู่มองอีฟหลายรอบแล้ว ซึ่งผมไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เป็นผมเห็นผู้หญิงสวยอย่างอีฟ ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน


"อีฟ.." ผมเรียกเธอ ก่อนหน้าที่ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะพัฒนาไปไกลกว่านี้ ผมมีบางอย่างจะเคลียร์ให้ชัด

"คะ?" อีฟละสายตาจากหน้าต่างเรือหันมามองหน้าผม

"พี่.. พี่มีสองเรื่องจะบอก" ผมหันไปมองหน้าเธอแบบจริงจัง

"อื้อ" อีฟพยักหน้าแล้วเว้นช่วงไว้เหมือนเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังฟัง

"เรื่องแรก พี่.. รักอีฟนะ" ผมพูดเข้าประเด็นทันที เล่นเอาอีฟถึงกับตาโตหน้าแดง

"เอ้ยย อะไรของพี่เนี่ย ยังไม่เลิกเล่นอีก" อีฟลนลานเฉไฉ ผมมองออกว่าเธอเขิน

"พี่พูดเรื่องจริง อีฟเป็นคนที่เข้าใจพี่ที่สุด ซัพพอร์ทพี่ตลอด และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีฟก็อยู่ข้างพี่เสมอ ถึงแม้..." ผมเว้นช่วงไว้

"ถึงแม้อะไร" อีฟถามหน้าแดง

"ถึงแม้ว่าบางทีอีฟจะขี้บ่น ขี้โวยวาย ปากจัด ด่าเจ็บ ชอบขัดพี่ตลอดก็เถอะ" ผมบอกเธอยิ้มๆ

"ตกลงนี่ชมหรือด่าอีฟกันแน่" อีฟเปลี่ยนสีหน้าจากเขินๆเป็นหน้าบึ้งทันที นี่สิอีฟของผม

"ฮ่ะๆ นี่แหละ สีหน้าแบบนี้แหละคืออีฟที่พี่รัก" ผมขยี้หัวเธออย่างเอ็นดูโดยที่อีฟไม่ได้แสดงอาการขัดขืนอะไร เดาว่าเธอก็คงแอบยิ้มในใจบ้างแหละ

"แล้วอีกเรื่องล่ะ" อีฟถาม

"พี่.. ตั้งใจจะบอกแทนเรื่องของเรานะ" ผมบอก ใช่ครับ ผมตัดสินใจแล้ว ผมตั้งใจกับตัวเองแล้วตั้งแต่เรื่องของอิงครั้งนั้น ว่าถึงแม้ว่าผมจะเจ้าชู้ หรือโลภมากในเรื่องราคะ แต่ผมจะไม่โกหกใครเด็ดขาด ผมจะใช้ความจริงใจเข้าช่วย และจะไม่ใช้พลังของผมด้วย

"พี่จะบอกพี่แทนยังไง จะใช้พลังโน้มน้าวพี่แทนเหรอ" อีฟหรี่ตาถาม ก่อนที่ผมจะส่ายหัวช้าๆแล้วตอบเธอยิ้มๆ

"ไม่อะ พี่จะไม่ใช้พลังอะไรกับแทนอีกแล้ว พี่จะบอกแทนความจริงทุกอย่าง บอกว่าพี่รักแทนมากแค่ไหน และก็บอกว่าพี่รักอีฟมากพอๆกัน มันดูเห็นแก่ตัวและดูโง่นะ โดยเฉพาะหลังจากเรื่องอิงตอนนั้น แต่พี่ไม่อยากโกหกแทน ไม่อยากไม่จริงใจกับแทน" ผมบอกอีฟ

"พี่นี่น้า.. อีฟไม่เคยเจอใครที่ทั้งโง่ ทั้งซื่อแบบพี่มาก่อน ผู้ชายปกติมันต้องกะล่อนๆหน่อย ร้ายๆหน่อย เสือๆหน่อย นี่พี่มาแบบตรงกันข้ามเลย ไม่รู้พี่มาเหนือหรือแค่ไม่ฉลาดก็ไม่รู้สิ" อีฟว่าขำๆพลางหันไปมองนอกหน้าต่างเรืออีกครั้ง ผมแอบเห็นว่าเธออมยิ้มอยู่

"แล้วอีฟ.. เอ่อ.. สมมติว่าแทน.. เอ่อ โอเค.. อีฟรับได้มั้ย" ผมกลั้นใจถามเธอไป เพราะแน่นอนว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างผมกับแทน แต่มันเป็นเรื่องของอีฟด้วย

อีฟหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้งแล้วพูดว่า

"อีฟเคยบอกพี่แล้ว อีฟอยู่ข้างพี่เสมอไง อย่าดึงซีนซึ้งได้มั้ย มันไม่ใช่ตัวอีฟเลย โอ้ยยย" อีฟว่าพร้อมกับขมวดคิ้ว เธอทำเป็นโวยวายเพื่อไม่ให้ผมดูออกว่าเธอเขินอยู่ แต่แค่นี้ทำไมผมจะดูไม่ออกละจริงมั้ย

"ฮ่ะๆ ดีจัง" ผมยิ้มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าในใจจะแอบกังวลเล็กๆ ว่าจะบอกแทนยังไงก็ตาม

"ว่าแต่.. อย่าลืมคิดด้วยล่ะว่าจะทำยังไง ถ้าพี่ต้องเลือกขึ้นมา.." อีฟพูดขึ้นลอยๆโดยไม่หันกลับมาหาผม แน่นอนว่า ผมเข้าใจความหมายของเธอเป็นอย่างดี ถ้ามันถึงจุดที่ผมต้องเลือกล่ะ ผมจะเลือกใคร? ถ้าถึงวันที่ผมบอกแทน แล้วแทนรับไม่ได้ ผมก็ไม่อยากจะลบความทรงจำเธออีกแล้ว เพราะผมไม่อยากใช้พลังความสามารถใดๆกับคนที่ผมรักอีกแล้ว

ผมไม่ได้ตอบอะไรอีฟ และเราสองคนไม่มีบทสนทนาอะไรต่อจากนั้น คงเป็นเพราะ ผมก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน..



#########


เราสองคนลงเรือที่ท่าเรือใกล้ๆ จุดหมายต่อไปที่อีฟนำทัวร์ คือพิพิธภัณฑ์แอนน์ แฟร้งค์ หรือแอนนา แฟร้งค์

แอนน์ แฟร้งค์ คือเด็กหญิงชาวยิววัย 13 ปีที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านที่เดียวกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเวลากว่า 2 ปี เพราะต้องหลบหนีการจับกุมของตำรวจนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเธอได้เริ่มเขียนไดอารี่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน รวมถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ในห้องลับเล็กๆบนบ้าน โดยไม่ให้ใครรู้ จนกระทั่งโดนตำรวจนาซีค้นพบในที่สุด

หลังถูกจับ แอนน์ แฟร้งค์และครอบครัว ถูกส่งไปที่ค่ายกักกันเชลย เอาชวิทซ์ในโปแลนด์ ที่เป็นค่ายกักกันเชลยที่โหดที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง มีชาวยิวถูกรมแก๊สเสียชีวิตจำนวนมากที่นี่ และสุดท้ายเธอถูกย้ายไปค่ายกักกันอีกแห่ง ก่อนจะเสียชีวิตในค่ายแห่งนั้นจากโรคไข้รากสาดใหญ่ในวัย 15 ปี

เรื่องราวของแอนน์ แฟร้งค์ ถูกเปิดเผยหลังมีคนค้นพบไดอารี่เล่มที่แอนน์ แฟร้งค์ใช้บันทึกเรื่องราว และนั่นกลายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดความโหดร้ายของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ผมยืนอึ้งอยู่หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยความอึ้งหลังได้ฟังคำอธิบายประวัติจากอีฟ เพราะพิพิธภัณฑ์นี้ยังคงเป็นบ้านหลังเดิม อาคารเดิม แม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ต่างๆก็ถูกจัดไว้แบบเดิมเหมือนในตอนที่แอนน์ แฟร้งค์ยังอยู่ เพื่อให้คงหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากที่สุด

อีฟบอกผมว่า ปกติแล้วการเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นต้องจองตั๋วล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แต่สำหรับ UNX ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อัมสเตอร์ดัมแล้ว กรจะหาตั๋วด้วยวิธี 'พิเศษ' คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่

ผมกับอีฟเดินลัดเลาะเข้าไปตามทางเดินในบ้านหลังนั้น มีข้าวของเครื่องใช้ของแอนน์ แฟร้งค์วางอยู่ในตู้กระจกพร้อมเขียนคำอธิบายทั้งภาษาดัตช์และภาษาอังกฤษ และก็อย่างที่บอก โชคดีที่ผมมีอีฟ เธอเลยทำหน้าที่เหมือนไกด์ที่ดี คอยอ่านและสรุปให้ผมฟัง

ผมเดินดูข้าวของภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นพร้อมกับรูปถ่ายบางส่วนแล้วก็รู้สึกหดหู่ ผมยังคงหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมคนด้วยกันถึงทำกันได้ลงคอขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อผมได้รู้ปลายทางของครอบครัวแฟร้งค์ที่เคยอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ที่ท้ายสุดแล้ว พวกเขาไปลงเอยที่ค่ายกักกันชาวยิว และมีพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดออกมาได้จนจบสงคราม

ผมเคยได้ยินเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่สองมาตลอด และสำหรับคนไทยอย่างผมแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก แต่พอได้อยู่ในสถานที่ประวัติศาสตร์จริงๆ มันกลับทำให้ผมรู้สึกอินอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้ผมเริ่มฉุกใจคิดถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ คนทุกคนควรจะเท่ากันสิ ไม่ควรมีใครอยู่เหนือกว่าใคร ไม่ควรมีใครมาตัดสินชะตาชีวิตของใคร เหมือนที่ฮิตเลอร์ตัดสินชีวิตของคนยิวนับล้านๆคน ในประวัติศาสตร์โลกไม่ควรจะมีพรรคนาซีเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

เดี๋ยวนะ.. นาซี พอคิดถึงคำนี้ ผมเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง นาซี เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า NAZI ใช่แล้วแหละ ต้องใช่แน่ๆ

"อีฟๆๆๆๆๆๆ" ผมสะกิดเรียกอีฟเสียงระรัวพร้อมกับทำตาโต

"ห๊ะ อะไรพี่ เรียกซะตกใจ" อีฟที่กำลังเพลินกับการอ่านป้ายประวัติของห้องๆหนึ่งอยู่หันมาหาผมทำหน้าสงสัย

"ฮิตเลอร์อยู่พรรคนาซีใช่มั้ย" ผมถามอีฟ

"ใช่"

"แล้วพรรคนาซีมีแนวคิดในการกำจัดชาวยิวใช่มั้ย" ผมถามเธอ

"เอออ.. จริงๆก็ใช่แหละ แต่ถ้าพูดให้ถูก คือพรรคนาซีมีแนวคิดยกชูสายเลือดอารยันเยอรมันแท้ว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่น ชาวยิวก็ซวยกว่าคนอื่นตรงที่เข้าไปพัวพันในเศรษฐกิจของเยอรมันยุคนั้นและฮิตเลอร์ก็อยากกำจัดเพื่อดึงคะแนนเสียง.." อีฟทำท่าจะร่ายยาว

"พอๆ ยาวไปละ เออสรุปสั้นๆว่า ในมุมมองของนาซีแล้ว ไม่ได้มองเห็นว่าคุณค่าของคนเท่ากันใช่มั้ย" ผมถามย้ำอีฟไป

"ก็ใช่ แล้วไงต่อ"

"หึหึ อีฟไม่เอะใจอะไรหน่อยเหรอ" ผมกอดอกยิ้มมุมปากเล็กๆพร้อมกระหยิ่มในใจ เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกเลยที่ผมคิดได้ก่อนอีฟ หรือจะเรียกว่า รอบนี้ผมฉลาดกว่าอีฟก็ได้นะ

"เรื่องอะไร" อีฟถามทำหน้างงๆ

"ก็องค์กรของสตีฟชื่อ ZINA มันคือการสลับตัวอักษรของพรรคนาซี NAZI ไง แถมมีแนวคิดคล้ายๆกันด้วย สตีฟพูดอยู่ตลอดว่า มนุษย์พิเศษอย่างเราเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป และคนอย่างเราสมควรจะได้ควบคุมความเป็นไปของโลก มันเหมือนการยกว่าพวกเราพิเศษกว่าคนอื่น และคนอื่นต่ำชั้นกว่ายังไงยังงั้นเลย" ผมอธิบายอีฟไปในสิ่งที่ผมคิด แน่นอน ผมภูมิใจกับความคิดบรรเจิดของผมมาก นี่คงจะเป็นการไขปริศนาครั้งแรกของผม และมันคงจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยอีฟที่กำลังสืบเรื่องของสตีฟอยู่ไม่มากก็น้อย

"..... เอ่อ... พี่เพิ่งรู้เหรอ? อีฟไม่เคยบอกพี่เรื่องนี้เหรอ?"  อีฟถามผมกลับ

อ้าว.. สรุปว่าอีฟรู้เรื่องนี้อยู่แล้วงั้นเหรอ ผมก็นึกว่าผมคิดได้เป็นคนแรก เห้อ.. แต่ก็ไม่แปลกแหละนะ คนฉลาดอย่างอีฟ มีเหรอที่เรื่องแค่นี้จะคิดไม่ได้

"อ่าว อีฟรู้อยู่แล้วเหรอ" ผมถามเธอ

"ก็ใช่น่ะสิ โถ.. พ่อคนเก่ง เสียฟอร์มเลย นึกว่ารู้เป็นคนแรกเหรอจ้ะ" อีฟแซวผมพลางเอื้อมมือมาหยิกปลายคางด้วยความหมั่นเขี้ยว เล่นเอาซะผมเขินเลย

"อีฟ.." ผมเรียกเธอพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือเธอที่เพิ่งจะหยิกคางผม

"ห๊ะ อะไรอี๊กกกก" อีฟพยายามดึงมือออกพลางมองไปรอบๆด้วยความเขิน ผมว่าอีฟคงรู้แหละว่าผมจะทำซีนซึ้งอีกแล้ว

"เป็นแฟนกันนะ" ผมพูดพร้อมกับยิ้มในแบบที่คิดว่าหล่อที่สุดในชีวิตพร้อมกับจ้องตาเธอไปด้วย

"นั่นไงว่าแล้ว มาขอเป็นแฟนที่พิพิธภัณฑ์แอนนท์ แฟร้งค์เนี่ยนะ โรแมนติคเป็นบ้าเลย" อีฟหน้ามุ่ยชักมือกลับแบบเขินๆ

"ว่าไง ได้มั้ย" ผมจี้เธอไป

"รอเจอพี่แทนก่อนค่อยว่ากัน" อีฟว่าพลางหันหลังเดินหนีผมเข้าไปอีกห้องทันที ทิ้งผมไว้กับความรู้สึกหนักอึ้ง มันยากจริงๆนะ ทำยังไงจะให้แทนยอมรับอีฟวะเนี่ย ถึงแม้ว่าเดียร์จะเคยบอกว่า แทนโอเคกับอีฟก็เถอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าโอเคระดับไหน แถมหลังจากเรื่องอิงตอนนั้น ผมก็กลัวจะทำให้แทนเสียใจอีกจริงๆ เห้อ ปวดหัวเป็นบ้า


ภายในพิพิธภัณฑ์นั้น รอบที่เข้าไปมีคนไม่มาก ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวเอเชียจะ
ค่อนข้างเยอะ อย่างไรก็ตาม ผมเริ่มจะแปลกใจเล็กน้อย ที่นักท่องเที่ยวแขกขาวชายสองคนที่ผมเห็นที่เรือ กลับมาเข้าพิพิธภัณฑ์นี้กับเรา

"อีฟๆ" ผมสะกิดเรียกเธอเบาๆ

"ว่า?" อีฟหันมาหาผม

"เห็นแขกขาวผู้ชายสองคนด้านหลังเรามั้ย ที่ใส่แจ็กเก็ตดำ พี่จำได้ว่าเขาอยู่บนเรือกับเรา ตอนนี้เขาอยู่นี่กับเราอีกแล้ว แปลกๆมั้ย" ผมกระซิบกระซาบบอกเธอ

อีฟฉลาดพอที่จะไม่เห็นในทันที แต่เธอเลือกที่จะแสดงละครออกมาในแบบที่ผมก็ไม่ทันคิด

"พี่ มุมนี้สวยอะ พี่ถ่ายให้อีฟหน่อย เอาสวยๆนะ" อยู่ดีๆอีฟก็พูดขึ้นแล้ววิ่งไปตรงหุ่นขี้ผึ้งของใครซักคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัวแอนน์ พลางหันกลับมาทางผมเพื่อโพสท่า ผมเข้าใจในทันทีว่า จุดประสงค์ที่เธอทำแบบนั้น เพื่อจะหันไปมองข้างหลังแบบเนียนๆนั่นเอง ฉลาดจริงๆ ขนาดผมยังคิดไม่ทันเลย

"อ่ะๆ พร้อมนะ หนึ่ง สอง สาม..." ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเธอ เพื่อให้ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ และถึงแม้ว่าการถ่ายรูปนี้ของอีฟจะเฟคๆ แต่ผมก็ตั้งใจถ่ายรูปจริงๆ เพราะตอนนี้อีฟดูน่ารักมาก ให้ตายสิ นี่ผมหลงอีฟเข้าแล้วจริงๆเหรอ

"อีฟเห็นแล้ว แต่ไม่น่าจะตามเรามั้ง เรือกับที่นี่มันสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ถ้าจะเจอนักท่องเที่ยวก็คงไม่แปลก" อีฟหันมากระซิบบอกผมหลังจากที่เธอทำท่าทางเหมือนโพสรูปเสร็จและมาขอดูรูปในโทรศัพท์

"แน่ใจนะ" ผมถามเธอเสียงเบาย้ำอีกครั้ง

"ไม่แน่ใจ"

"อ่าว.."

"ทำตัวตามปกติไปก่อน คอยดูไปเรื่อยๆ" อีฟบอก

"โอเค" ผมพยักหน้าพร้อมทำเป็นไม่สนใจอะไรอีก แต่แน่นอน พฤติกรรมของทั้งคู่ยังอยู่ในสายตาผมตลอดเวลา



เราใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์นั้นแค่ราวสองชั่วโมง ก่อนจะออกจากพิพิธภัณฑ์นั้นมา โชคดีที่ใกล้ๆนั้นมีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย ผมกับอีฟเลยตัดสินใจมานั่งพักทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในละแวกนั้น

ร้านนี้เขียนป้ายบอกว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 1920 ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจนัก เพราะอาคารบ้านเรือนในเมืองนี้ส่วนมากจะเป็นสไตล์ยุโรปโบราณ ซึ่งถูกอนุรักษ์ไว้จากทางเทศบาลเมือง การจะสร้างตึกรูปทรงใหม่ๆ หรือทุกตึกเก่าๆนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก อย่างมากที่ทำได้คือการรีโนเวทภายในให้ดูทันสมัยซะมากกว่า

ผมกับอีฟเลือกนั่งโต๊ะกลางแจ้งนอกตัวร้าน เพื่อรับแดด ตอนอยู่ที่ไทยผมไม่เคยเห็นคุณค่าของแสงแดดเลย แต่มาอยู่นี่แค่ 2-3 วัน ผมโหยหามันชะมัด และแน่นอน ผมกวาดสายตาไปรอบๆแบบเนียนๆ ก็พอกับชายแขกขาวสองคนนั้นเหมือนเดิม แต่คราวนี้ สองคนนั้นนั่งอยู่อีฟฟากของร้านอาหาร แต่หันหน้ามาทางโต๊ะผม ถึงตรงนี้ ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า สองคนนั้นตามเรามาจริงๆ แต่ด้วยจุดประสงค์อะไรนั้น ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้

"พี่ๆๆๆ อีเมล์ผลตรวจออกมาแล้ว" อีฟที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ระหว่างรออาหารนั้นเรียกผมด้วยเสียงระล่ำระลัก

"หือ ไหนๆๆ" ผมถามพลางชะเง้อไปดูจอโทรศัพท์เธอที่นั่งฝั่งตรงข้าม แต่ก็มองไม่เห็นอยู่ดี..

"เดี๋ยวอีฟแปลให้ฟัง..." อีฟว่าพลางเริ่มต้นแปลรายงานผลการตรวจร่างกายให้ผมฟังทันที

"โอเค" ผมตอบก่อนจะขยับตัวทำท่าตั้งใจฟัง

"ชื่อบลาๆๆๆ นามสกุลบลาๆๆๆ อายุ โอเคข้อมูลถูกต้อง อ่ะ ข้ามมาที่ความสามารถเลยละกันนะ ผลการตรวจสแกนสมองและความทรงจำของพี่ มีความสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรก คือความสามารถที่ควบคุมได้ คือการโน้มน้าวจิตใจคนอื่น สมองพี่จะสร้างความถี่พิเศษเพื่อไปสื่อสารกับสมองของเป้าหมาย แล้วสมองของเป้าหมายจะแปรความถี่นั้นเป็นคำสั่งไปสู่จิตใจและร่างกายต่อไป เช่นตอนที่พี่ควบคุมจิตใจเสี่ยอั๋น หรือตอนที่พี่ควบคุมร่างกายแฟนพี่เดียร์ให้หยุดค้างตอนนั้น และพี่เกือบจะฆ่าไปแล้วด้วยซ้ำ พูดง่ายๆว่าพี่ควบคุมร่างกายและจิตใจคนได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนนะ แบบที่อีฟเคยบอกแล้ว" อีฟหันมาบอกผมในประโยคท้าย

"อ่าฮะ จำได้" ผมพยักหน้าหงึก

"ที่สำคัญคือ.." อีฟเว้นช่วง

"คืออะไร" ผมถาม

"นอกจากคนอื่นแล้ว พี่ยังควบคุมกล้ามเนื้อ ร่างกาย ความคิดของตัวเองได้ด้วย"

"หมายความว่ายังไง พี่จะคุมร่างกายตัวเองไปทำไม พี่ก็ควบคุมร่างกายตัวเองได้อยู่เนี่ย ดูสิ เห็นมั้ย" ผมถามอีฟกลับพลางยกมือทำท่ามินิฮาร์ทให้เธอแบบไม่รู้เวลา เสี่ยวชะมัด แต่น่ารักดีแฮะ ผมคิดเข้าข้างตัวเองนะ

"ไอ้บ้า ยังจะมาเล่นอีก ควบคุมร่างกายตัวเองหมายถึง พี่ควบคุมให้แผลหายเร็วได้ ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนที่เสียหายให้กลับมาฟื้นฟูได้ หรือแม้แต่ ให้ตัวเองมีกล้ามบึ้กๆหุ่นเท่ๆอะไรงี้ได้" อีฟบอก

"อ๋อ เข้าใจละ เห้ยย งี้พี่ก็เป็นอมตะเลยดิ" ผมตาโตถามเธอ เพราะแบบนั้นแปลว่าร่างกายผมจะไม่สึกหรอเลยเหรอ

"เวอร์ไป ไม่ใช่แบบนั้น ไอ้ส่วนที่ควบคุมได้ มันแค่สองที่สมองสั่งการได้เท่านั้น คือกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น อะไรงี้ ปกติสมองพี่สั่งให้หัวใจเต้นมั้ยล่ะ สมองสั่งให้ปอดเต้นมั้ยล่ะ อวัยวะคนเรามันก็ทำงานอัติโนมัติไปตลอดเวลา พี่จะควบคุมได้เฉพาะสิ่งที่พี่คิดจะทำได้ การเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ อะไรงี้ ที่สำคัญ มันก็ต้องฝึกเยอะนะ ไม่ใช่ว่าพี่จะทำได้ทั้งหมดเลยทันที" อีฟร่ายยาว

"อ่อ เข้าใจละ.. แสดงว่า พี่ควบคุม.. เอ่อ ขนาดของพี่ได้ด้วยสิ" ผมถามอีฟ สงสัยว่าผมจะอยู่กับไอ้อ้นนานไปหน่อย ความคิดจังไรๆโผล่เข้ามาในหัวเฉยเลย

"ไอ้ลามก!! ความสามารถกลุ่มต่อมา คือมีแนวโน้มว่าจะสามารถควบคุมได้ คือ การเพิ่มความเร็วของกระแสประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ" อีฟพูดต่อโดยไม่สนใจที่ผมถาม

"มันคืออะไร" ผมถามเธอกลับอย่างงงๆ เพราะอันนี้ผมนึกไม่ออกจริงๆว่ามันคือความสามารถแบบไหน

"พี่จะสามารถเพิ่มความเร็วของกระแสไฟฟ้าจากสมองไปสู่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย จากที่เร็วอยู่แล้ว จะเร็วยิ่งไปอีก และที่สำคัญ กล้ามเนื้อจะรับสัญญาณไฟฟ้าเหล่านั้นแหละเพิ่มความเร็วในการทำงานขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ จะทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ เวลาของพี่จะไม่สัมพันธ์กับคนอื่น กล่าวคือ เมื่อพี่ใช้ความสามารถนี้ พี่จะเห็นคนอื่นเคลื่อนไหวช้าลง หรือเกือบจะหยุดนิ่ง ในขณะที่พี่ยังเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม.."

"โอ้โห ยังกับพลังหยุดเวลาเลย" ผมตาโตบอกเธอไป นี่ผมมีความสามารถระดับนี้เลยเหรอ

"อะไรประมาณนั้น แต่อันนี้แค่แนวโน้มนะ ไม่รู้ว่าพี่จะควบคุมได้แน่ๆมั้ย พี่เคยมีความรู้สึกว่าเวลาหยุดนิ่งบ้างมั้ย" อีฟเงยหน้าจากโทรศัพท์หันมาถามผม

"มี ตอนบ้านเสี่ยอั๋น ตอนที่จะเข้าไปช่วยอีฟแล้วพี่ได้ยินเสียงอิง" ผมบอกเธอไป

"นั่นแหละ พี่อาจจะควบคุมความสามารถนี้ได้ อ่ะต่อนะ อย่างสุดท้าย คือความสามารถที่ไม่สามารถควบคุมได้ คือความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกหรืออ่านสภาพจิตใจและสมองของคนอื่น อันนี้คือความสามารถแบบอีฟนี่แหละ แสดงว่าพี่ไม่สามารถควบคุมได้ มันคงมาๆหายๆอย่างพี่ว่าจริงๆ" อีฟบอก

"แค่ความสามารถเดียวพี่ก็รู้สึกไม่ใช่คนแล้วนะ แค่นี้ก็พอแล้ว" ผมบอกเธอยิ้มๆ

"เอ่อ...." อยู่ดีๆ อีฟก็หน้าถอดสีในตอนที่เธอกำลังอ่านอีเมล์ในโทรศัพท์อยู่ ผมรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ

"อะไรเหรออีฟ" ผมถามเธอ

"......." อีฟไม่ตอบอะไร แต่ยังคงอ่านในโทรศัพท์อยู่

"อีฟ!" ผมเรียกเธออีกครั้ง ผมรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างที่เธอไม่อยากบอกผม

"คะ?" อีฟเงยหน้ามาถามผม

"มีอะไร?" ผมพยายามถามเธอซ้ำว่าเธออ่านเจออะไรอีก

"เอ่อ.. ก็.." อีฟเว้นช่วงไว้เหมือนไม่อยากพูด

"พูดมาเลย" ผมเร่งเธอ

"คือ.. ในนี้บอกว่า คำแนะนำจาก UNX ให้เข้ารับการตรวจอีกครั้งแบบพิเศษ เพราะ.. ความสามารถของพี่อยู่ในระดับสูงมาก ทำให้ในสมองพี่ตอนนี้.. มีเนื้องอก.. เป็นผลมาจากการใช้ความสามารถต่างๆ และ.." อีฟบอกข่าวร้ายแก่ผม เล่นเอาซะผมช็อคไปเลย

"และอะไร" ผมถามเธอซ้ำ แน่นอน แม้มันจะเป็นข่าวร้าย แต่ผมก็ควรจะต้องรู้

"UNX แนะนำว่า การใช้พลังความสามารถนั้น จะช่วยให้เนื้องอกโตขึ้นเรื่อยๆ ควรหยุดใช้และเข้ารับการรักษากับ UNX ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้.." อีฟบอก

ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของผมและอีฟอีก นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับผมราวกับถูกบอกว่า ผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายยังไงยังงั้น

ทำไมนะ ผมกำลังมีความสุขอยู่เลย วันนี้วันคริสมาสต์ แม้ว่าผมจะมีอีฟเป็นของขวัญคริสมาสต์แล้ว แต่ผมก็ดันได้ข่าวร้ายเรื่องเนื้องอกในสมอง เป็นของขวัญคริสมาสต์อีกอย่าง

ภาพในหัวตอนนี้ผมตีกันไปหมด ผมจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานเหรอ? ผมควรต้องทำยังไง แล้วที่ผมเรียนมา เพื่อหวังจะทำงาน มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีลูก ทุกอย่างมันจะพังงั้นเหรอ แล้วถ้าผมไม่อยู่แล้ว อีฟจะอยู่ยังไง แทนจะเป็นยังไง

"พี่ ใจเย็นๆ UNX นี่เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทันสมัยที่สุดในโลกแล้วนะ เอาจริงๆขนาดมะเร็งระยะสุดท้ายยังรักษาได้เลย แต่แค่ UNX ยังไม่ปล่อยงานวิจัยออกไปให้ชาวโลกเฉยๆ พี่ใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น" อีฟพูดปลอบผมราวกับรู้ว่าผมกำลังกังวลอยู่

"แต่มันคือเนื้องอกในสมองเลยนะ ทำไมพี่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน" ผมถามเธอ ผมยอมรับแหละ ว่าตอนนี้ผมเริ่มจะกลัวนิดๆแล้ว ผมไม่เคยคิดถึงการตายของตัวเองมาก่อนเลย ผมคิดว่า ผมคงจะแก่ตายเข้าสักวัน แต่นี่ผมเพิ่งจะอายุ 20 ต้นๆ มันควรจะเป็นวัยที่กำลังสนุกกับชีวิตไม่ใช่เหรอ

"มันอาจจะเพราะยังเล็กอยู่ เลยไม่มีผลอะไรไง แต่ก็ควรทำตามที่ UNX แนะนำนะ พี่ยังไม่ควรใช้ความสามารถพร่ำเพรื่อ เพราะเนื้องอกมันจะโตขึ้น" อีฟบอก

"แล้วเรื่องสตีฟต้องทำไง เพราะสุดท้าย พี่ก็ต้องใช้พลังตามที่สตีฟต้องการอยู่ดี จนกว่าเราจะหาทางออกจากตรงนั้นได้" ผมถามเธอกลับไป

"อันนี้อีฟก็ไม่รู้แฮะ สงสัยต้องปรึกษาน้าไพลิน แต่ที่แน่ๆ พี่พยายามอย่าใช้พลังนะช่วงนี้ เดี๋ยวเรานัด UNX เข้าไปตรวจอีกที อาจจะในระหว่างที่เราอยู่ที่นี่เลย" อีฟบอก

"โอเค พี่ว่ากลับไปเรานัดน้าไพลินมั้ย น่าจะมีหลายเรื่องต้องอัพเดทกัน" ผมเสนอความเห็นอีฟ ผมคิดว่าตอนนี้เราเริ่มจะมีข้อมูลเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้ว เราอาจจะวางแผนกันได้ว่า หลังจากนี้เราจะทำยังไงกับสตีฟและ ZINA

"ก็ดีเหมือนกัน" อีฟพยักหน้าหงึกเห็นด้วย

"เดี๋ยวพี่มานะ พี่ปวดฉี่" ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จริงๆผมปวดตั้งแต่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แล้ว แต่คงเป็นเพราะความตื่นเต้นที่คิดเรื่องชื่อ ZINA ได้ ก็เลยลืมไปเลย จนมารู้สึกปวดเอาตอนนี้

ปกติร้านอาหารในเนเธอร์แลนด์นั้นจะไม่ได้มีห้องน้ำสำหรับลูกค้าให้ทุกร้านเหมือนที่ไทย และร้านที่มี ก็ต้องเสียค่าเข้าประมาณ 50 เซ็น ทำให้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ค่อยจะมีใครเข้าห้องน้ำมาซักเท่าไหร่

ผมเดินลัดเลาะมาที่ห้องน้ำหลังร้านหลังจากจ่ายเงินค่าเข้าแล้ว และในระหว่างที่กำลังยืนฉี่อยู่นั้น แขกขาวหนึ่งในสองคนที่ผมเห็นก็มายืนฉี่ข้างๆ แล้วก็พูดขึ้นว่า

"คุณต่อใช่มั้ยครับ ผมมาจาก ZINA ผมขอคุยด้วยซักแปปได้มั้ย" ชายคนนั้นสูงกว่าผมราว 5 เซ็น หันมาพูดกับผมด้วยภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง

"เอ้อ.. ที่นี่ตอนนี้เหรอ" ผมถามกลับไป ที่จริงผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าเขามาจากองค์กร ZINA เพราะบุคลิค การแต่งตัว ดูมาดตัวร้ายในหนังฮอลลีวู้ดชัดๆ แต่ที่ผมงงคือ จะยืนคุยกันทั้งๆที่ฉี่อย่างนี้เนี่ยนะ

"ไม่มีอะไรมาก ผมแค่อยากแจ้งข่าวนิดหน่อย" ชายคนเดิมพูด

"ข่าวอะไร..?" ผมถาม

"ผลการทดลองที่คุณได้รับจาก UNX นั้นไม่เป็นความจริง คุณกำลังถูกหลอก คุณกำลังถูกพวกนั้นใช้เป็นเครื่องมือ ที่สำคัญ อย่าไว้ใจและผู้หญิงที่มากับคุณ"



สวัสดีวันสงกรานต์ (หรือยังหว่า) ครับคุณผู้อ่านทุกคน

EP.22 นี้จะเริ่มเพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาแล้ว จริงๆตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเขียนได้ยาวถึง 20 กว่าตอน ตั้งใจว่าจะตัดจบใน 16 ตอนด้วยซ้ำ แต่เนื้อเรื่องมันเดินช้าบวกกับผู้อ่านหลายคนชอบ มันเลยยังไปต่อได้อีก แต่เท่าที่ดูตอนนี้ เนื้อเรื่องน่าจะมาได้ครึ่งทางแล้วจริงๆครับ

แต่ไม่ต้องห่วง ในหัวผมตอนนี้ จักรวาลจ้าวโลกยังไปต่อได้อีกเยอะเลย ทั้งพาร์ทต่อไปของนายต่อ และอื่นๆ(อันนี้ต้องรอลุ้นกันเอาเอง) เฉพาะของนายต่อเอง ผมคิดไว้เล่นๆว่าไปได้ถึง 3 ภาคเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจผมด้วยแหละ 555

ตอนนี้ไม่ค่อยมีเหตุการณ์พีคๆอะไรมาก แต่เริ่มคลายปมเรื่องพลังแล้ว และผมขอเพิ่มส่วนที่ตอบคุณผู้อ่านหน่อยนะครับ เพราะบางทีเห็นมีคนเม้นท์ถาม(ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบจริงมั้ย ติ๊ต่างว่าต้องการคำตอบจริงๆละกัน ฮ่าๆ) แต่ถ้าผมเม้นท์ตอบ มันน่าจะไม่แจ้งเตือน เลยมาเขียนตอบตรงนี้เลย

เหมือนเดิม คอมเม้นท์เพื่ออ่านตอนจบของ EP นี้ครับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆเลยครับ

ปล.ขอบคุณทุกคนที่ชอบการบรรยายของผมนะครับ มีอะไรติชมแนะนำได้เลยนะครับ ผมยังต้องปรับปรุงอีกเยอะะะ


ตอบคุณ eradicater จาก EP.21
Q : ติดเหรียญใน fiction log บ้างก็ได้นะครับ อย่างบางเรื่อง ติดตอนNC หรือบางเรื่อง 3-5 ตอนติดที

A : อันนี้น่าสนใจครับ ไว้จะลองติดแบบนั้นดูครับ ขอบคุณที่แนะนำนะคร้าบ


ตอบคุณ mint38-24-38 จาก EP.21
Q : ถ้ามีโอกาสมาฟีเจอริ่งตัวละครกันนะคะ หนูมีสามสาวให้เข้าฮาเร็มพี่ต่อได้

A : พี่ยังหาจุดเข้าพล็อตอยู่เลย ไม่ลืมแน่นอนน


ตอบคุณ rahoo99 จาก EP.21
Q : ไรท์เคยไปฮอลแลนด์? เคยไปพี้กัญชาที่นั่นมา?

A : ใช่ครับ จริงๆต้องบอกว่ายุโรปเป็นบ้านหลังที่สองของผมถึงจะถูก แหะๆ





 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

kaku1234

แบบนี้ต้องสะกดจิตแทนให้ยอมรีบับอีฟอะป่าว

ones26421


somte

วงการสายลับก็หลอกกันไปมาแบบนี้รึเปล่า

phurin84

รอตอน เดียร์ แทน อีฟ รุมต่ออยู่นะครับ

Taizen

ดูแล้ว เชื่อใครได้ยากเลย
มีเงื่อนงำตลอด

yai79

ตกลง ต่อไว้ใจใครได้บ้างเนี่ย

Thanee_samsung

อยากให้แทนรับได้ คราวนี้ ฮาเร็มนายต่อหละ เสียวแทนเลย

Sak2563


eradicater

#9
สิ่งเดียวที่เป็นห่วงคือ...มาคุยกันตอนฉี่ ถ้าเผลอตกใจแล้วเผลอรูดซิฟโดนหนัง...จะทำยังไง!
ถึงจะเป็นตัวโกงแต่พวกแกก็เป็นผู้ชายนะ หัดคิดถึงความรู้สึกตอนโดนหนีบบ้างสิ!

ปล.ว่าแต่รูดซิปรึยังนะ? นานจะสลบแบบปล่อยน้องจิ้มพื้นหนาวๆไม่ได้นะ!

bangsan

ต่อสับสนซะแล้วจะไว้ใจใครได้แต่เนื้องอกในสมองขอให้เป็นข่าวไม่จริง

peddo

#11
สองฝ่ายต่างก็ต้องกล่าวร้ายอีกฝ่ายอยู่แล้ว ดีไม่ดี อาจต้องการหลอกใช้ต่อทั้งคู่ แล้วดูยังไงอีฟก็ไม่เหมือนตัวร้าย แต่จะถูกหลอกใช้ได้เหมือนกัน น้าไพลินก็ดูลึกลับเหมือนกันนะครับ
เรื่องกำลังตื่นเต้น แต่ที่ลุ้นที่สุดคือ แทนจะว่ายังไงนะครับ
ขอบคุณครับ
น่าสนใจนะครับว่าที่ล้ม คือ การวางยา หรือเป็นผลจากเนื้องอกในสมอง ถ้าเกิดเอาออกไปแล้วเรื่องเซกซ็เกิดเสื่อมไปล่ะ ทำไงดี

อัศวิน รัตนแก้ว

เอาแล้ว ใครพูดจริง ใครโกหก นายต่อเราจะไปยังไงเนี่ย..

เดช12341

ตกลงนายต่อจะเชื่อองค์กรไหนดี

wangdora29

งงไปหมดแล้ว ใครเป็นใครกันแน่