ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ตำนานนายขนมต้ม เล่ม ๓ ตอนที่ ๒

เริ่มโดย นีโอ, ตุลาคม 14, 2016, 09:34:56 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ
๒. แผ่นดินใหม่

"กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลาหาสติปัญญาได้ไม่ เป็นวิสัยพระทัยปราศจากความเพียร ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์เป็นอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งก็จะเกิดวิบัติฉิบหายเสีย"

เป็นพระราชโองการของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว(พระเจ้าบรมโกศ) พระราชบิดา

อันข้อความกล่าวถึงกรมขุนอนุรักษ์มนตรีราชโอรสนี้ ตรัสเมื่อกรมหมื่นเทพพิพิธกับเจ้าพระยาอภัยราชา ผู้ว่าที่สมุหนายกและเจ้าพระยามหาเสนา และพระยาพระคลังพร้อมใจกันกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นประดิษฐานที่พระมหาอุปราชเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า

แต่เจ้าน้องกรมขุนพรพินิตเห็นแก่เจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี เลยกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้เจ้าพี่เป็นกรมพระราชวังบวรจึงจะควร

สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เป็นพระราชบิดาของเจ้าพี่กับเจ้าน้องทั้งสองพระองค์ ก็ทรงไม่พอพระทัยในองค์เจ้าพี่ เลยตรัสบรรยายสรรพคุณอันขาดตกบกพร่องของเจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีให้เป็นที่รู้ทั่วกัน

"เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอบด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะดำรงเศวตฉัตร ครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไป จึงเห็นควรพระราชทานฐานาศักดิ์ประดิษฐาน เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในที่ สมเด็จเจ้าวังหน้า"

สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสกับกรมหมื่นเทพพิพิธและท้าวพระยามุขมนตรีที่เข้าเฝ้าขอพระราชทาน ซึ่งใจความชัดเจนยกย่องว่า เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด ควรจะดำรงเศวตฉัตรรักษาแผ่นดินได้ จึ่งพระราชทานฐานาศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล อยู่วังจันทร์เกษม อันกรมพระราชวังองค์นี้ คือเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ เดิมเมื่อมีพระครรภ์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุบินนิมิตว่า มีผู้เอาดอกมะเดื่อมาถวาย พระองค์จึ่งทรงทำนายว่า ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้ เมื่อประสูติจึ่งประทานนามว่า เจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร ราษฎรเรียกเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ พระเจ้าอยู่หัวปรารถนา จะให้ครองสมบัติสืบไป จึ่งตั้งไว้ในที่กรมพระราชวังบวรสถาน-มงคล

"ไปบวชเสีย" สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมองพระพักตร์เจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วตรัสดังๆ ให้ได้ยินทั่วกันทั้งเจ้านาย บรมวงศานุวงศ์ และท้าวพระยามุขมนตรีที่เฝ้าว่า "ไปบวชเสีย อย่าให้กีดขวาง"

ที่ว่าอย่าให้กีดขวาง หมายถึงอย่าอยู่เป็นก้างขวางคอ หรืออย่าอยู่ขัดขวางเจ้าน้องกรมขุนพรพินิตที่จะรับพระราชทานประดิษฐานเป็นที่กรมพระราชวังบวร มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งพระนคร

"แต่ลูกยังมิพร้อมจะบวช ลูกยังมิได้เตรียมตัว"เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีตรัสตอบ

"แล้วถ้าพ่อไม่บอก เมื่อไหร่หล่อนจะพร้อม!!!" พระสุรเสียงดังสีหนารถตวาดจนทุกผู้ในท้องพระโรงสะดุ้ง

"ไยเสด็จพ่อกระทำการหักหาญ ประดุจหนึ่งจะเสือกไสไล่ส่งลูกไปพ้นหูพ้นตา"

"เรามิได้ขับไล่ไสส่ง เราขอสั่งให้เจ้าจงออกไปบวช แล้วจำวัดอยู่ที่วัดละมุดปากจั่น!!!"

สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสด้วยพระสุรเสียงดังยิ่งกว่าเดิม

เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี มิอาจขัดพระราชโองการได้ เพราะทรงเกรงกลัวพระราชอาญา ก็ต้องจำพระทัยทูลลาไปทรงผนวชตามพระราชประสงค์ แล้วเสด็จขึ้นไปอยู่ที่วัดละมุดปากจั่น ทางย่านปากจั่นติดกับบ้านเกาะ ริมแควป่าสัก เหนือพระนครศรีอยุธยาห่างออกไปไกลทีเดียว ซึ่งตรงกับเดือน ๕ พุทธศักราช ๒๓๐๐ แต่ระหว่างที่ครองเพศบรรพชิต พระดวงจิตหาได้ฝักใฝ่ในทางธรรมไม่ ยังคงเฝ้าหาหนทางกลับมาสู่ราชบัลลังก์เสมอมา

เมื่อดาวหางพากผ่านท้องฟ้าเหนืออยุธยาธานี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร ข่าวล่วงรู้ไปถึงพระกรรณ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ราวเดือน ๖พุทธศักราช ๒๓๐๑ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็ลาผนวช เสด็จลงไปอยู่พระตำหนักสวนกระต่าย เพราะทรงรู้ข่าวว่าพระราชบิดาทรงพระประชวรหนักมาก เมื่อเข้าไปในวังหลวงแล้ว ได้เสด็จไปดูพระอาการพระราชบิดาที่พระที่นั่งทรงปืน ณ แท่นบรรทม เป็นแต่เสด็จไปแย้มฉากทอดพระเนตรสักครูหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้แน่พระทัยว่าประชวรจริง ตามที่เจ้าอาทิตย์ผู้เป็นราชบุตรเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ วังหน้าซึ่งสิ้นพระชนษ์ไปเพราะต้องราชทัณต์เชิญเสด็จมา กรมขุนอนุรักษ์มนตรีทรงแย้มฉากทอดพระเนตรดูสักครู่หนึ่ง ก็เสด็จกลับไปยังพระตำหนักสวนกระต่ายโดยมีเจ้าอาทิตย์ตามติดไปอำนวยการ

การที่เจ้าอาทิตย์เข้าใกล้ชิดสนิทสนมถึงขนาดเชิญเสด็จเจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจากพระตำหนักสวนกระต่าย ลักลอบเข้าไปถึงพระที่นั่งทรงปืนอันเป็นที่บรรทม และใช้ประทับยามพระประชวรหนักเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าอาทิตย์มุ่งหวังอย่างเต็มเปรี่ยมที่จะยื่มมือของเจ้าพี่และเจ้าน้องในการล้างแค้นให้พระราชบิดา

"พระแสงขรรค์ชัยศรีอยู่ในห้องบรรทมบนพระที่นั่งทรงปืนหรือเปล่า" กรมขุนอนุรักษ์มนตรีมีรับสั่งกับเจ้าอาทิตย์ผู้เป็นหลานอา เมื่อกลับถึงพระตำหนักสวนกระต่ายในวังหลวง

"ไม่ได้สังเกตเลยท่านอา" เจ้าอาทิตย์มีอาการตกใจ "หม่อมฉันกลับไปดูใหม่ไหมล่ะ"

"ไม่ต้องก็ได้" ท่านอาของเจ้าอาทิตย์รับสั่งบอกเบาๆ

"ท่านอาจะใช้งานหรือ" เจ้าอาทิตย์สงสัย เลยไต่ถามอย่างคร้ามกลัว

"ยังไม่ใช้วันนี้ แต่ต้องใช้วันหน้า ต้องใช้พระแสงขรรค์ชัยศรี" เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีตรัสพึมพำเบาๆ ให้เจ้าอาทิตย์ผู้เป็นหลานอาได้ยินแค่อยู่ด้วยกันสองคน

"ใช้ดาบอื่นได้ไหมท่านอา"

"ดาบอื่นใช้การไม่ได้ ต้องใช้พระแสงขรรค์ชัยศรีเท่านั้น"

พระแสงขรรค์ชัยศรี ทำจากเหล็กสกุลสูง ที่มีสายแร่เหล็กกับแหล่งถลุงอยู่ทางทิวเขาพนมดงเร็ก หมายถึงทิวเขาไม้คาน ที่ขนานไปกับลำน้ำมูลลงแม่น้ำโขง แหล่งถลุงเหล็กสกุลสูงจะอยู่ตามที่ดอนสูงเชิงพนม มีพวกเขมรสูงหรือขะแมร์เลอเป็นช่างถลุงกับช่างตีเหล็กถวายพระเจ้าแผ่นดิน แล้วกษัตริย์เมืองพระนครหลวงศรียโสธรปุระเอาไปถลุง แล้วตีขึ้นเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ของพระราชามหากษัตริย์เท่านั้น ต่อมาได้ทำขึ้นองค์หนึ่งพระราชทานให้พ่อขุนผาเมืองกมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์แห่งกรุงศรีสัชนาลัยสุโขทัยเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว

ครั้นพ่อขุนผาเมือง วงศ์ศรีสัชนาลัยสุโขทัยลงมาเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาศรีรามเทพ ก็อัญเชิญดาบพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรียโสธรพระนครหลวงมาประดิษฐานบนพระแท่นเบื้องขวา เป็นพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ ขณะประทับนั่งว่าราชการหรือบรรทมทุกทิวาราตรีกาล ส่วนพระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัยองค์ต่อๆ มา ได้จำลองพระแสงขรรค์ชัยศรีไว้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอาญาสิทธิ์ ดังมีบอกไว้ในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงของพญาลิไท

พระขรรค์เป็นนามศัสตราวุธชนิดหนึ่งอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ มีลักษณะเป็นอย่างหอกด้ามสั้นสำหรับใช้ต่อสู้เมื่อเข้าประชิดตัวถึงตะลุมบอนกัน จะใช้ฟันหรือแทงก็ได้

ขรรค์ มีรากจากคำบาลีว่า ขัคคะ ส่วนสันสกฤตว่า ขัฑคะ หมายถึงกระบี่ หรือมีดขนาดใหญ่ แต่จะมีรูปลักษณะอย่างไรแล้วแต่ความนิยมในท้องถิ่นต่างๆ เช่น นางกาลีอันเป็นปางดุร้ายปางหนึ่งของพระอุมาเทวีก็ทรงขรรค์ มีรูปเป็นมีดโต้อย่างที่ชาวอินเดียใต้ใช้ฟันคอแพะเพื่อบูชายัญ

ดาบแห่งอำนาจสูงสุดคือพระแสงขรรค์ชัยศรีแล้วมีดาบชั้นรองเป็นลำดับๆ ไปอีกจำนวนหนึ่ง เรียกพระแสงต่างๆ กัน เช่น พระแสงกระบี่, พระแสงง้าว, ฯลฯ แต่พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นดาบแห่งอำนาจสูงสุด

ใครมีดาบ คนนั้นมีอำนาจ

ใครถือดาบ คนนั้นถืออำนาจ

แต่ ใครชักดาบออกจากฝัก คนนั้นบ้าอำนาจ


"หม่อมไปเชิญพระแสงองค์นี้มาถวายเดี๋ยวนี้เลยดีไหม" เจ้าอาทิตย์ประจบ

"ถ้าไปเชิญจริงๆ ยังไม่ทันออกมา คอก็ขาดแล้ว" กรมขุนอนุรักษ์มนตรีมีรับสั่งเครียดๆ เคร่งๆ ขรึมๆ จนเจ้าอาทิตย์ไม่กล้าพูดอะไรอีก เลยไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงอึกทึกครึกโครมของความเงียบนั้น


ห้องบรรทมที่ประทับของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ภายในตำหนักพระที่นั่งทรงปืน

"เสด็จมากันแล้วพะย่ะค่ะ" มหาดเล็กสองคนเข้ามาหมอบกราบ กรมพระราชวังบวรฯแล้วกราบทูลกันเบาๆ "กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด)"

กรมพระราชวังบวรฯมิได้ตรัสอย่างหนึ่งอย่างใด คงนิ่งอยู่อย่างนั้น

นอกจาก เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ วังหน้าเดิมที่สวรรคต เจ้าฟ้าเอกทัศ และเจ้าฟ้าอุทุมพรวังหน้าพระมหาอุปราชเป็นพระราชโอรสแล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยังมีพระราชโอรสที่เกิดแต่พระสนมอื่นๆอีกหลายพระองค์ที่สำคัญคือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี โดยกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี จับกลุ่มรวมตัวกันเหนียวแน่น จนพระญาติพระวงศ์และชาวพระนครเรียกขานกันว่า 'เจ้าสามกรม'

เจ้ากรมทั้งสี่เข้ามาประทับนั่งบนตั่งที่เตรียมไว้ให้ตามลำดับ ซึ่งภายในพระที่นั่งทรงปืนนั้นยังมีเจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์( เจ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ) ซึ่งอยู่ในเพศบรรพชิต เจ้าฟ้าพระฯทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้านเรนทร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี พระองค์มีพระอนุชา ๒ พระองค์ ได้แก่ เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ แต่ถูกสำเร็จโทษในศึกชิงราชสมบัติเมื่อต้นรัชกาล

เจ้าฟ้าพระฯนั้นมีพระราชประวัติอยู่ว่า

พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ(เจ้าฟ้าพร-สมเด็จพระบรมราชาที่๓) ทรงเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ(เจ้าฟ้าเพชร-สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ )และทั้งสองพระองค์เป็นพระราชโอรสของ'พระเจ้าเสือ'เป็นหลานปู่ของ'พระเพทราชา' ปฐมกบัตริย์แห่งราชวงค์'บ้านพลูหลวง' โดยเมื่อครั้งพระเจ้าเสือสมเด็จพระบิดาของเจ้าฟ้าเพชร-เจ้าฟ้าพร ได้สวรรคตลงนั้น'เจ้าฟ้าเพชร'(พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)ได้ขึ้นเสวยราชย์สมบัติจึงโปรดให้'เจ้าฟ้าพร'พระอนุชา เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า)และมีข้อตกลงว่า เมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ กรมพระราชวังบวร(เจ้าฟ้าพร)จะเสวยราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเจ้าท้ายสระ

ปลายรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเกิดเปลี่ยนพระทัย จะมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสพระองค์ใหญ่คือเจ้าฟ้านเรนทร(มีเจ้าฟ้าอภัยเป็นพระราชโอรสองค์ที่๒.และ.เจ้าฟ้าปรเมศร์ เป็นพระราชโอรสองค์ที่๓.)แต่เจ้าฟ้านเรนทรไม่ทรงเห็นชอบด้วยเนื่องจากพระมหาอุปราช(เจ้าฟ้าพร)ก็ยังคงมีพระชนม์อยู่และทรงดำรงตำแหน่งที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมควรมอบราชสมบัติตามข้อตกลงเดิม พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระไม่ยินยอม  เจ้าฟ้านเรนทรจึงออกผนวช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจึงยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้าอภัยโอรสองค์ที่๒.สืบราชสันตติวงศ์ต่อ แต่สมเด็จพระมหาอุปราชไม่ทรงยินยอมโดยทรงยืนยันว่าหากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระประสงค์จะให้พระราชโอรสของพระองค์สืบต่อราชสมบัติแห่งกรุงศรีอยุธยาสมควรที่จะเป็น "เจ้าฟ้านเรนทร" พระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ทรงผนวชอยู่เท่านั้น

ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ไม่ยอม ก็หาลาพระผนวชออกมาไม่

"เจ้าฟ้านเรนทร"ทรงตัดสินพระทัยไม่ยอมเป็นกษัตริย์และไม่ยอมลาสิกขาบท

ขณะที่ยังไม่มีข้อยุติและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงพระประชวรหนัก "เจ้าฟ้าอภัย"และ"เจ้าฟ้าปรเมศร์"และขุนนางฝ่ายวังหลวงที่เกรงจะสูญเสียอำนาจได้จัดเตรียมกองทัพตั้งค่ายไว้หน้าวังเพื่อเตรียมที่จะรบกับกรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าพร)เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับกรมพระราชวังบวรฯเป็นอย่างมากจึงนำไปสู่การเปิดศึกกลางเมืองระหว่างวังหน้า(อา)และวังหลวง(หลาน) ขึ้น ฝ่ายวังหลวง(หลาน)มีพระธนบุรีเป็นแม่ทัพผู้มีความสามารถรบชนะแม่ทัพฝ่ายวังหน้า(อา)มาหลายคน ทัพวังหน้าระส่ำระสายอย่างหนักโดยกรมพระราชวังบวรฯแม่ทัพฝ่ายวังหน้า(อา)ก็เตรียมที่จะหลบหนีเพราะคิดว่าสู้ทัพฝ่ายวังหลวง(หลาน)ไม่ได้

ขณะนั้นขุนชำนาญชาญณรงค์ทหารคนสนิทของ'เจ้าฟ้าพร'(วังหน้า)ได้อาสาออกรบกับพระธนบุรีแม่ทัพผู้เก่งกาจของฝ่ายวังหลวงและแจ้งแก่วังหน้าว่า..'...หากข้าพระพุทธเจ้าพ่ายแพ้ถึงตอนนั้นจะหนีก็ยังไม่สาย...'

ขุนชำนาญฯยอดนักรบของฝ่ายวังหน้าถือดาบสองมือขึ้นม้านำทหารออกรบกับพระธนบุรี พระธนบุรีก็หาเกรงกลัวไม่ จึงชักม้ามารบกับขุนชำนาญฯ รุกรบต่อตีกันเป็นสามารถท้ายที่สุดขุนชำนาญฯใช้ดาบสองมือฟันพระธนบุรีตายบนหลังม้า ฝ่ายทหารฝ่ายวังหน้าได้ใจจึงโห่ร้องต่อตีทัพวังหลวงที่กำลังเสียขวัญแตกพ่ายไปจนทุกทิศทาง 'เจ้าฟ้าพร'(วังหน้า)จึงเป็นฝ่ายชนะและเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  หลังจากนั้นพระองค์มีพระราชดำรัสให้นำตัวเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามโบราณราชประเพณี

ลุศักราชได้ ๑๐๙๖  ปีฉลู เบญจศก ณ เดือน ๕ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงกระทำการพิธีปราบดาภิเศก ณ พระที่นั่งวิมานรัตยาในพระราชวังบวรสถานฝ่ายหน้านั้นสืบต่อไป '...จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ขุนชำนาญชาญณรงค์เป็นเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดีหลวงจ่าแสนยากรเป็นเจ้าพระยาอภัยมนตรี ว่าที่จักรี(สมุหนายก)พระยาราชภักดีผู้ว่าที่ สมุหนายกเดิมนั้นว่าที่สมุหกลาโหมแล้วโปรดเกล้าให้พระพันวัสสาใหญ่เป็นกรมหลวงอภัยนุชิต ให้พระพันวัสสาน้อยเป็นกรมหลวงพิพิธมนตรี......'

ส่วนเจ้าฟ้านเรนทรพระราชโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระที่มิยอมลาสิกขามาเป็นกษัตริย์นั้นดำรงเพศบรรพชิตตลอดมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงสถาปนาให้ทรงกรมที่ กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์(เจ้าพระฯ)

ในปีพ.ศ. ๒๒๗๘พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขณะทำการปฏิสังขรณ์พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาทซึ่งเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม ในปีนั้นก็ทรงพระประชวร ฝ่ายเจ้าพระฯซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดยอดเกาะนั้นก็เสด็จเข้ามาจำพรรษา ณ วัดโคกแสงภายในพระนครและเข้าไปเยี่ยมเยือนสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอันทรงพระประชวรอยู่ ณ พระราชวังหน้านั้นเนืองๆ เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแม้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ยังประทับอยู่ที่วังหน้ามิได้ย้ายไปวังหลวง

และจากการสนิทชิดใกล้จนเกินพอดี ทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร(สมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมขุนเสนาพิทักษ์)ผู้เป็นกำลังสำคัญในการศึกชิงบัลลังค์ของพระพุทธเจ้าอยู่หัว(บรมโกศ)เกิดความระแวงว่าเสด็จพ่อพระพุทธเจ้าอยู่หัว(บรมโกศ)จะยกพระราชบัลลังค์ให้เจ้าพระฯ  จึงทรงวางแผนตรัสใช้ให้พระองค์เจ้าชื่น พระองค์เจ้าเกิดซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ออกไปทูลลวงเจ้าพระฯว่ามีพระราชโองการให้นิมนต์เข้าไปในพระราชวังหน้าในเพลาราตรี เจ้าพระฯสำคัญว่าจริงก็เสด็จเข้าไปในพระราชวังขึ้นไปบนหน้าพระชัย  เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรแอบพระทวารคอยอยู่เอาพระแสงดาบฟันเอาเจ้าพระฯหาเข้าไม่เพราะมีวิชาการดี ถูกแต่ผ้าจีวรขาด เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรกลัวพระราชอาญาวิ่งเข้าไปข้างในตำหนักพระราชมารดา

ฝ่ายเจ้าพระฯก็เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวฯ ๆได้ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามว่า

"เหตุไฉนผ้าจีวรของพระคุณท่านจึงขาด"

เจ้าพระฯถวายพระพรว่า "เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร หล่อนหยอก"

ครั้นเจ้าพระฯถวายพระพรลากลับออกมาแล้ว พระพันวัสสาใหญ่กรมหลวงอภัยนุชิต(พระราชมารดาของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร)จึงเสด็จมาอ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือว่า "เจ้ากุ้งหล่อนกระทำการไปด้วยความเขลา ถ้าพ่อมิช่วยเหลือก็เห็นจะไม่พ้นโทษตายเป็นมั่นคง"

เจ้าพระฯจึงตรัสว่า "จะช่วยได้ก็แต่ร่มกาสาวพัสต์อันเป็นธงชัยพระอรหันต์"

กรมหลวงอภัยนุชิตได้พระสติจึงเสด็จกลับเข้าไปแล้วพาเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรราชโอรสขึ้นซ่อนในพระวอทรงพระวอเดียวกันออกจากทางประตูฉนวนวัดโคกแสง ให้ไปบวชเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัด(เจ้าพระฯ)นั้น พระพุทธเจ้าอยู่หัว(บรมโกศ)ทรงพระพิโรธเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเป็นอันมากดำรัสให้ค้นหาตัวในพระราชวังมิได้พบได้แต่พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าชื่นพระองค์เจ้าเกิด ซึ่งร่วมคิดกันนั้น ดำรัสสั่งให้เอาไปสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ ดับสูญทั้งสองพระองค์

แม้จะถูกเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรลอบประทุษร้ายหมายให้ตายทั้งครองจีวร แต่เจ้าฟ้าพระฯหาได้อาฆาตไม่  การบวชครั้งนี้เจ้าพระฯก็ทรงช่วยอนุเคราะห์อย่างสุดกำลัง โดยเป็นพระอุปัชฌาย์ถวายการทรงผนวชให้ด้วย  จึงทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรมีพระชนม์ชีพอยู่รอดปลอดภัยมาได้ อันเป็นผลดีอย่างยิ่งในงานวรรณกรรมปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะเป็นพื้นฐานให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้เวลาในระหว่างบวชเรียนอยู่กับเจ้าพระฯ ทำการศึกษาเล่าเรียนจนทรงแตกฉานวิชาการประพันธ์ ดังปรากฏอยู่ในผลงาน กาพย์แห่เรือ กาพห์ห่อโคลง ทำนองนิราศประพาสธารทองแดงและธารอโศกที่พระพุทธบาทสระบุรี
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรต้องบวชอยู่ ๕-๖พรรษา จนถึงจ.ศ. ๑๑๐๓หรือ พ.ศ. ๒๒๘๔ พระราชโกษาบ้านวัดระฆังได้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขอให้แต่งตั้งเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ'เป็นกรมพระราชวังฯ เมื่อปรึกษาบรรดาเสนาบดีแล้วไม่มีใครคัดค้านพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็โปรดให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร(กรมขุนเสนาพิทักษ์)เป็นเจ้าวังหน้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคลดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช

เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรรอดโทษประหารเมื่อครั้งกรณีเจ้าพระฯมาครั้งหนึ่ง จนได้ดำรงฐานาศักดิ์อุปราชโดยประเพณีแล้ว ก็น่าจะได้สถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ชะตาชีวิตของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรก็ไม่ถึงราชบัลลังก์ไม่สามารถเป็นพระมหากษัตริย์ได้ เพราะต้องมารับราชทัณฑ์จากการกระทำชู้กับพระสนมจนสวรรคตอย่างอนาจ

เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ทรงประทับนั่งอยู่บนตั่งด้านมุกพระตำหนัก ณ พระแท่นบรรทมร่างของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พ่ออยู่หัวของทุกชีวิตในกรุงศรีอยุธยานอนทอดกายกระปลดกระเปลี้ยด้วยพระโรคชรา พระพลานามัยเสื่อมทรุด หลังแพทย์หลวงถวายพระโอสถ พระพุทธเจ้าหลวงก็พยายามปรือพระเนตรที่ฝ้าฟางลางเลือนมองหาบรรดาพระโอรสที่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า

"มากันพร้อมหน้ากันแล้วรึ?" พระสุรเสียงแหบโหยของเจ้าชีวิตแห่งอยุธยานครตรัสถามลอยๆ

กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ) ทรงเสด็จดำเนินจากตั่งที่ประทับมากราบบังคมทูลข้างแท่นพระบรรทม

"มากันพร้อมหน้าแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ"

"บอกให้เข้ามาใกล้ๆทุกคน"

สมเด็จเจ้าชีวิตที่สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้ทุกชีวิตในแผ่นดินเพลานี้พระพลานามัยอ่อนแอมีพระบัณฑูรแหบพล่า

"ครบทุกคนที่พระองค์ทรงเรียกหาพระพุทธเจ้าค่ะ"กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ)ตรัสตอบพระบัณทูร

"ดีๆ เจ้าแขก" ทรงพระบัณทูรเรียกหากรมหมื่นเทพพิพิธ

"พระพุทธเจ้าค่ะ" เจ้าแขกถวายบังคมตามรับสั่ง

"เจ้าปาน"ทรงพระบัณทูร เรียกหากรมหมื่นจิตรสุนทร

"พระพุทธเจ้าค่ะ" เจ้าปานถวายบังคมตามรับสั่งเช่นกัน

"เจ้ารถ" ทรงพระบัณทูรเรียงลำดับราวต้องการให้แน่พระทัย

"พระพุทธเจ้าค่ะ" กรมหมื่นสุนทรเทพถวายบังคมตามรับสั่ง

"เจ้ามังคุด" ทรงพระบัณทูรเรียกเทพกรมหมื่นเสพภักดีเป็นสุดท้าย

"พระพุทธเจ้าค่ะ"

พระพุทธเจ้าหลวงทรงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ และพยายามจะเปล่งพระสุรเสียงออกมาอีกครั้ง

"เจ้าแขก เจ้าปาน เจ้ารถ เจ้ามังคุด เจ้าทั้งสี่จงให้สัตย์ปฏิญาณต่อเรา ผู้เป็นบิดาของเจ้า แลกำลังจะตาย...."

พระสุรเสียงแหบพล่าขาดห้วงไปอีกครั้ง ก่อนที่พระพุทธเจ้าหลวงจะมีพระบัณทูรขึ้นมาอีก

"พวกเจ้าทั้งสี่ จงให้สัจจะวาจา จะซื่อสัตย์ จงรักภัคดีต่อ ท่านวังหน้า องค์พระมหาอุปราช..."

จากพระบัณฑูรทำให้เจ้าทรงกรมทั้งสี่ชะงัก ทรงหันไปสบพระเนตรราวปรึกษาความกันทางสายพระเนตร ท่าทางของเจ้าทรงกรมทั้งสี่อึดอัดในพระหฤทัยยิ่งนัก เนื่องจากความจริงภายในพระอุระนั้นหาได้ปรารถนาจะยกย่องเจ้าวังหน้าปัจจุบัน แต่ชั่วอึดใจหนึ่ง กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้ารถ)ก็ทรงถอนพระทัยขยับเข้ามาถวายบังคมข้างพระแท่นบรรทม

"ข้าพระพุทธเจ้า กรมหมื่นจิตรสุนทร ขอให้สัจจะวาจา จะซื่อสัตย์ จงรักภัคดี ต่อ กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน ฤาเจ้าฟ้าอุทุมพร จะไม่คิดคดการอันใดให้เป็นเสี้ยนหนามสืบไปในภายหน้า หากผิดสัจจะวาจาที่ให้ไว้ ขอให้ตายตกด้วยคมหอกคมดาบในสามวัน อย่าได้ทันในสามเดือน อย่าได้เคลื่อนในสามปี หาได้มีสุขสวัสดิ์อยู่ใต้เศวตฉัตรอยุธยาเทอญ..."

เมื่อกรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้ารถ)ให้สัจจะวาจา บรรดาเจ้ากรมที่เหลือทั้งสามพร้อมพระทัยให้สัจวาจาเช่นเดียวกัน ตามลำดับจนครบองค์ ฝ่ายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงหลับพระเนตรรับฟังโดยไม่ใครล่วงรู้พระทัยว่าทรงได้เชื่อถือสัจจะวาจานั่นหรือไม่ กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงทอดพระเนตรบรรดาเจ้าพี่ทรงกรมทั้งหลายที่ให้สัจจะวาจาแล้วทรงทอดถอนพระทัย เนื่องจากทรงรู้สึกว่าถูกบังคับพระทัยในการกล่าวสัจจะวาจาทุกพระองค์ แต่พอสบายพระทัยได้ที่เจ้าต่างกรมทั้งหลายต่างให้สัจจะวาจาไว้ คงจะยึดถือได้เพราะเป็นศักดิ์เป็นศรีแห่งขัตติยะกษัตริย์ที่จะกล่าวลอยๆมิได้-------

เมื่อฟังเจ้ากรมทั้งสี่ถวายสัจจะวาจาเสร็จสิ้น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงยื่นพระหัตถ์เปะปะไปทางพระมหาอุปราช ซึ่งพระมหาอุปราชทรงยื่นสองกรเข้าโอบรับพระหัตถ์นำมาประดิษฐานไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงลูบพระเกศามหาอุปราชอย่างอ่อนโยน บรรดาเจ้ากรมทั้งสี่ทอดพระเนตรก็ให้ขัดเคือง แต่เก็บความขุ่นข้องไว้ในพระหทัย ในห้วงใกล้ถึงกาลดับขันณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรือพระเนตรสอดส่ายไปยัง เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์  ซึ่งเจ้าพระฯก็พอเข้าพระทัยในเจตนา

เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ขยับจากตั่งที่ประทับ ดำเนินมาข้างพระแท่นอย่างสำรวม

"มหาบพิทร ปรารถนารับสั่งอันใดกับอาตมาภาพรึ?"

พระพุทธเจ้าหลวงทรงพนมกรอย่างลำบาก และมีพระบัณทูรด้วยน้ำเสียงแหบโหย

"โยม..ขอฝากเจ้าพระ..ช่วยดูแล..พ่อดอกมะเดื่อ...ด้วยนะ..."

"มหาบพิทรวางใจเถิด อาตมาภาพจะดูแล ตักเตือน อบรม พ่อดอกมะเดื่อให้ยึดมั่นในธรรมราชา"

"โยมได้ฟังเจ้าพระ รับปาก ก็วางใจ..."

ประดุจเฮือกสุดท้ายของเรี่ยวแรงจากพระวรกาย สิ้นเสียงพระบัณทูร พระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงหลับพระเนตรนิ่งไป
กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงโอบพระหัตถ์เกาะกุมเอาแนบแน่น ข้างกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก)ทอดพระเนตรแล้วสะท้อนพระทัยด้วยอาลัยรักเสด็จพระบิดา ทว่าเจ้าทรงกรมอีกสามหาได้มีจิตเป็นกุศลไม่ ทั้งสามพระองค์มองอาการของกรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าอุทุมพร) อย่างมิจฉาทิฐิ  ประจบประแจงเก่งฉกาจเยี่ยงนี้เอง จึงได้รั้งตำแหน่งพระมหาอุปราช หากสิ้นบุญพระพุทธเจ้าขุนหลวงแล้วไซร้ คงเคว้งคว้างราวเรือลำน้อยล่องลอยในมหานทีกว้าง

เพลานั้นบรรดาพระสนมเอก สนมรอง เจ้าจอม หม่อมห้าม นั่งตั่งแวดล้อมด้วยขุนนาง ข้าทาส บริวารต่างเป็นทุกข์อื้ออึงด้วยเสียงสะอื้นร่ำไห้ ด้วยรักอาลัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ผู้ประหนึ่งเป็นดั่งร่มโพธิร่มไทรอันผาสุขให้พึ่งพิงอาศัยกำลังประชวรซึ่งพระอาการหนักหนาจนเกินบรรเทา บรรดาเจ้าทรงกรมที่แวดล้อมเข้าเฝ้าก็มิมีทีท่าจะปรองดอง หากสิ้นพ่ออยู่หัวแล้วไซร้ แผ่นดินอยุธยาคงจะวุ่นวายไม่ต่างจากทุกครั้งที่เปลี่ยนรัชกาล

ภายนอกตำหนักพระที่นั่งทรงปืน เวรยามล้อมวังทำหน้าที่แข็งขัน นายขนมต้มและเจ้าแมงเม่าในชุดทหารสีน้ำหมากสะพายดาบคู่กลางหลังเดินกระย่องกระแย่งลาดตระเวนรอบๆพระตำหนัก หน้าที่ทั้งสองคือคอยสอดส่องมิให้คนนอกล่วงล้ำเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาติ และตรวจค้นบุคคลต้องสงสัยที่มาด้อมๆมองๆนอกรั้วพระที่นั่งแห่งนี้ ขณะที่คนอื่นๆก็จุกช่องล้อมวังไปตามหน้าที่

นายขนมต้มและเจ้าแมงเม่าเดินกระเพรกๆมานั่งพักข้างๆพุ่มไม้ตรงหน้าบันไดทางขึ้นตำหนักก่ออิฐถือปูนสีขาว
นายขนมต้มถอดรองเท้าหนังออกมาสำรวจหลังเท้าที่เป็นแผลพุพอง

"อู๊ย...เกือกกัดตีนข้าเสียเจ็บแสบไปหมด ไม่ใส่ได้ไหม?" บ่นพร้อมกับลูบคลำหลังเท้า

เจ้าแมงเม่าก็มีอาการไม่ต่างกัน "เจออะไรๆหนักหนามาก็มาก ไม่เคยหนักเท่าถูกเกือกกัดตีนมาก่อน แสบจริงๆ"

"อ้ายสองคนนั้น มานั่งทำอันใดกันตรงนี้" ขุนรองปลัดชูในชุดเต็มยศสวมหมวกทรงประพาสส่องไต้ไฟเดินเข้ามา

"ดิฉันมานั่งพักจ๊ะ ท่านครู เกือกหนังกัดตีนดิฉันระบมไปหมด เดินจะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ" นายขนมต้มบอกสาเหตุ

"เฮ้ย!! อ้ายนี่ ห้ามเรียกท่านครู เรียกข้าท่านขุนรองปลัดชู ตอนนี้เราเข้าประจำการอยู่นะ" ขุนรองปลัดชูดุมา "แล้วก็พูดจาให้มันเข้มแข็งสมเป็นทหารหน่อย ต้องแทนตัวว่าเกล้ากระผม ลงท้ายด้วยขอรับ มันถึงจะฟังดูเหมือนเป็นทหารล้อมวังอารักขาพ่ออยู่หัวหน่อย จำใส่กบาลกันไว้นะ"

"เจ้าค่ะ!!" ทั้งสองรับคำ

"ข้าสั่งยังไม่ทันจบประโยค พวกเอ็งก็เจ้าค่ะอีกแล้ว"

"ขอรับเจ้าค่ะ"

"อย่ามากวนประสาทน่า สถานการณ์ยิ่งคับขันอยู่ แล้วมีอะไรผิดปรกติวิสัยบ้างไหม?"

"ไม่มีเจ้าค่ะ เอ้ย! ขอรับ ท่านครูเ อ้ย! ท่านขุนรองปลัดชู ที่มีก็พวกเราสองคนนี่แหล่ะ" เจ้าแมงเม่ารายงาน

"พวกเอ็งมีอะไรผิดปรกติ"

"เกือกกัดตีนเราไง ไม่ใส่ได้ไหม?"

"ไม่ได้!!!" ขุนรองปลัดชูค้านเสียงแข็ง "เราเป็นกองทหารล้อมวัง เดินตีนเปล่าให้ใครเห็นจะเสื่อมเสียพระเกียรติไปถึงเจ้านายของเราได้  ยิ่งเจ้านายของเราเป็นถึงอุปราช ก็ยิ่งต้องแต่งกายให้สมกับพระอิสริยยศและพระราชอิสริยศักดิ์ อดทนเอาหน่อย ฝึกหนักกว่านี้ยังรอดพ้นมาได้ สำมะหาอะไรกะอีแค่เกือกกัดเท้า"

ทั้งสองมองที่เท้าของขุนรองปลัดชู ซึ่งเห็นเดินตีนเปล่าอยู่ก็ขมวดคิ้วสงสัย

"เกือกของท่านครู เอ้ย...ท่านขุนรองปลัดชูไปไหนเจ้า..เอ้ย..ขอรับ" นายขนมต้มถาม

"ชายชาตรี ยืดได้หดได้ ข้าถอดเหน็บชายพกไว้ ไม่ได้ใส่นานกัดตีนข้าระบมเหมือนกัน"

"แล้วมิเกรงเสื่อมเสียพระอิสริยยศและพระราชอิสริยศักดิ์ เจ้านายรึขอรับ?"

"ก็เพลาออกต่อหน้าธารกำนันค่อยใส่ก็ได้ เอ็งก็ต้องรู้ทางหนีที่ไล่บ้าง"

เมื่อฟังคำแนะนำ ทหารล้อมวังใหม่ทั้งสองก็เอาเกือกหนังมาเหน็บชายพกบ้าง

"ก็น่าจะแนะนำกันบ้าง ปล่อยเราสองคนหลังตีนระบมอยู่ได้" เจ้าแมงเม่าเอ่ยเย้ามา

"ใช่ เดินสบายกว่ากันเยอะ" นายขนมต้มเห็นด้วย

นายขนมต้มมองไปบนพระตำหนัก ประตูเปิดออกพร้อมๆกับบุรุษสูงศักดิ์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์พรรณชั้นเจ้าเดินเรียงแถวออกมาสี่คน ทุกคนตัดผมทรงมหาดไทย ไว้หนวดหนาดกดำ สามคนแรกดูท่าทางราวกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอะไรบางอย่างออกมาด้วยท่าทีเหลืออดเหลือทน ส่วนคนเดินรั้งท้ายท่าทางอายุมากที่สุด ท่วงท่าดูสุขุมน่าเลื่อมใส ทั้งสี่ตรงไปที่ศาลาลูกขุนในตรงประตูเข้าพระตำหนัก เสลี่ยงงา เสลี่ยงกลีบบัว ล้วนสลักลายวิจิตรมาจอดรับทีละคนพาออกไปทางประตู แต่ละคนมีบ่าวไพร่ถือเครื่องยศเช่น เชี่ยงหมากทอง พัดโบกทอง พานทอง กระบี่ กั้นหยั้น กระโถน ฯลฯตามแหนหลายสิบคน ระหว่างทั้งสี่ก้าวพ้นธรณีประตูออกมา ขุนรองปลัดชูกดร่างของศิษย์ทั้งสองให้นั่งลงและหมอบกราบ

"พระบรมวงศานุวงศ์มาเข้าเฝ้าหรือขอรับ?" นายขนมต้มเอ่ยถามเมื่อขบวนแหนออกจากบริเวณพระตำหนักไป

ขุนรองปลัดชูมองตามแล้วส่ายหน้า "ใช่"

"ใครหรือขอรับ?"

"สามพระองค์หน้า คือเจ้ากรมทั้งสาม เจ้าปาน เจ้ารถ และเจ้ามังคุด ส่วนองค์รั้งท้าย เจ้าแขก"

"เจ้าสามกรมที่ว่าพิพาทกับเจ้าฟ้าอุทุมพร เจ้านายของเรานั่นรึขอรับ?"

"อื่อ..." ขุนรองปลัดชูพยักหน้าให้ "พี่น้องกันแท้ๆ จะชิงดีชิงเด่นให้ข้าแผ่นดินเดือดร้อนทำไมหนา"

"จะชิงดีชิงเด่นกันเยี่ยงไร พี่น้องพระสายโลหิตเดียวกัน คงตกลงกันได้แหล่ะหนา"

"ตกลงกันได้ก็ดีไป แต่ข้ากลัวจะตกลงกันไม่ได้หน่ะสิ"ขุนรองปลัดชูพูดอย่างหนักใจ

"แล้วถ้าตกลงกันมิได้ จะเกิดเหตุอันใดขึ้นหรือขอรับ?"

"..........." ขุนรองปลัดชูถอนหายใจเฮือก และไม่กล้า ตอบเพราะผลัดแผ่นดินคราใด เลือดนองแผ่นดินทุกคราไป
ประตูพระตำหนักเปิดออก ผู้ก้าวออกมาคราวนี้คือกรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทั้งสามรีบคุกเข่าถวายบังคมทันที นายขนมต้มให้สุดแสนจะประหม่า ได้เข้าเฝ้าครั้งแรกมิล่วงรู้ว่าพระองค์ท่านเป็นใค รก็เข้าใจไปตามประสาว่าเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่ง พอล่วงรู้ว่าเป็นพระมหาอุปราชเสด็จไปรับกองอาทมาฎที่ตนสังกัดด้วยพระองค์เอง เขาก็แสนจะปลื้มปิติเป็นล้นพ้น กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงมีพระพักตร์เรียบเฉย

เมื่อทอดพระเนตรมาที่ทั้งสามซึ่งหมอบกราบอยู่ก็มีพระบัณทูรว่า

"เรายังไม่กลับ จะอยู่โยงเฝ้าเสด็จพ่อจนรุ่ง คืนนี้ลำบากพวกเจ้าต้องอยู่เวรเฝ้า หากเหนื่อยล้าก็ผลัดเวรกันนะ"

พระบัณฑูรเปรี่ยมด้วยพระกรุณาเอ่ยมาช่างชุ่มชื่นหัวใจผู้รับฟัง

ขุนรองปลัดชูรีบสนองพระบัณฑูรทันที "หามิได้เป็นการลำบากอันใดพระพุทธเจ้าค่ะ อาทมาฎทุกชีวิต ยินดีน้อมถวายตามพระราชประสงค์ด้วยความเต็มใจพระพุทธเจ้าค่ะ"

กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงแย้มพระสรวญบางๆที่มุมพระโอษฐ์ แต่แล้วเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรไปที่นอกชานพระตำหนัก เห็นเงาตะคุ่มๆอยู่ที่ช่องพระแกล(หน้าต่าง) ก็ทรงมีพระพักตร์เคร่งเครียด เงาร่างนั้นแง้มพระวิสูทร(ม่าน)ออกลอบมองเข้าไปในห้องบรรทมของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่ทรงนอนประชวรอยู่

สามทหารเสือกองอาทมาฎขยับกายลุกขึ้นพร้อมเตรียมชักดาบคู่เข้าจัดการผู้บุกรุก แต่เมื่อมหาดเล็กที่ติดตามออกมาส่องไต้ไฟให้แสงสว่างฉายเห็นชัด กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงยกพระหัตถ์ห้ามไว้ เงาร่างนั้นคือเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) พระองค์ลอบมาดูอาการประชวร เนื่องจากทรงลาเพศบรรพชิตมาโดยพละการ  จึงมิกล้าแสดงพระองค์ด้วยเกรงราชทัณฑ์ เมื่อการมาของพระองค์ถูกพบเห็น พระองค์จึงเสด็จกลับไปในทันที

กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงทอดพระเนตรตามจนร่างนั้นหายไปกับความมืด พระองค์ก็เสด็จกลับเข้าพระตำหนัก ขุนรองปลัดชู มองตามด้วยสายตาเห็นใจ เพราะเขาเองก็พอรู้ตื้นลึกหนาบางของทั้งสองพระองค์ การมาปรากฏพระองค์ของเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) บอกรหัสเป็นนัยๆว่า จะมาทวงสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์ตามศักดิ์ของพระองค์ ที่นิ่งเฉยเพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยังทรงพระชนษ์ชีพอยู่

"มาเองเชียวนะ ไม่ต้องมีใครไปอันเชิญ อำนาจนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ"ขุนรองปลัดชูเอ่ยขึ้น

"เมื่อครู่นี่ใครหรือท่านครู เอ้ย..ท่านขุนรองปลัดชู?" นายขนมต้มเอ่ยถาม

"เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีหรือเจ้าฟ้าเอกทัศ พระเชษฐาของเจ้านายเรา"

"ข่าวว่าพระองค์ทรงผนวชอยู่มิใช่รึ?"

"ก็ทรงรีบลาผนวชมาเองหน่ะสิ คงหมายใจมาร่วมแย่งนั่งราชบัลลังค์ด้วย"

"แล้วจะมาแย่งทำไม พระองค์เองถูกสมเด็จขุนหลวงรับสั่งให้ผนวชเพื่อมิให้กีดขวางเจ้านายของเรานี่"

เจ้าแมงเม่าถามตามความที่ตนเองทราบมา

"ก็คอยดูไปก็แล้วกัน ว่าจะวุ่นวายขนาดไหน"ขุนรองปลัดชูสรุป


ตำหนักศาลาลวด

เจ้าทรงกรมทั้งสี่พระองค์เสด็จมาถึงภายในก็พากันทรงออกพระอาการพิโรธดั่งเพลิงกัลป์ โดยเฉพาะเจ้าสามกรมที่ขบพระทนต์บ้าง ออกพระอาการส่งเสียงเอะอะเป็นการประท้วงหรือแสดงความ ไม่พอใจอย่างชัดเจน เว้นแต่กรมหมื่นเทพพิพิธ ทรงมีพระพักตร์เรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวดั่งเจ้าทรงกรมพระองค์อื่นๆ

"สัจจะวาจานะสัจจะวาจา...ไม่รู้ว่าขุนหลวงท่านทรงคิดเยี่ยงไรจึงให้เราถวายสัจจะวาจา นึกถึงเพลานั้นแล้ว มันช่างน่าเจ็บใจจริงๆ"กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ)ตรัสขึ้นอย่างขุ่นพระทัย "ขุนหลวงใยหักหาญน้ำใจให้พวกเรากล่าวสัจจะวาจาเยี่ยงนั้น ทั้งๆที่พระองค์ก็ทรงรู้ ว่าเราหามีความเต็มใจที่จะกล่าวสัจจะวาจานั่น" ตรัสแล้วก็ออกอาการเต้นแร้งเต้นกาตามวิสัยเอาแต่พระทัย "แล้วดูพระอาการของกรมพระราชวังบวรฯ ดูตอนเธอทำสีหน้าเพลาที่เรากล่าวสัจจะวาจา เธอทำสีหน้ายินดีปรีดานัก ยิ้มเยาะพอพระทัยที่เห็นพวกเรายอมทำตามที่ขุนหลวงร้องขอ เธอคงสะใจที่เอาคนใกล้ตายมาบีบบังคับให้เราต้องกล่าวสัจจะวาจาเยี่ยงนั้นออกไป เธอคงหวังว่าเราจะทำตามและซื่อตรงดังที่กล่าวสัจจะวาจาเช่นนั้นหรือ คิดแล้วให้คับแค้นแน่นอุรา เจ็บใจโว้ย!!! เจ็บใจจริงๆ"

"เจ้ารถ เบาหน่อยสิเธอ ตะเบ็งเสียงออกไป มิเกรงใครจะได้ยินดอกรึ?" กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน)ตรัสเตือน

แต่กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) หาได้สดับรับฟังไม่ กลับทวีพระสุรเสียงดังขึ้นกว่าเดิม

"จะเกรงอันใดอีกเล่า เจ้าพี่ปาน อยากจะมาจับน้องไปลงโทษก็เข้ามาสิ น้องไม่กลัวดอก"


กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด) ส่ายพระพักตร์ พลางตรัสเตือนขึ้นอีกพระองค์"เจ้ารถ เบาเสียงลงเถิด แหกปากตะโกนให้มันได้อันใดขึ้นมา เราก็มีความรู้สึกไม่ต่างกับเธอดอก เราเองก็ฝืนใจถวายสัจจะวาจาเช่นกัน แลขุนหลวงพระองค์ท่านก็ทรงทราบว่าเรามิได้จริงใจในการกล่าวสัจจะวาจา อดใจรอหน่อยเถิดหนา ไม่ถึงทีเราบ้างก็แล้วไป"

"เธอควรสงบปากสงบคำบ้าง คนรักชอบพอกรมพระราชวังบวรฯก็มีไม่น้อย หากมีกาคาบข่าวไปแจ้งว่าพวกเรามีประพฤติเป็นกบฏเสียก่อน การที่เราเตรียมไว้ก็จะเสีย เข้าใจนะ"กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน)เข้าโอบไหล่เจ้ารถหรือกรมหมื่นสุนทรเทพเพื่อปลอบประโลมให้พระทัยคลายพิโรธ

"เจ้าพี่แขกมีความเห็นว่ากระไร?" กรมหมื่นจิตรสุนทรผินพระพักตร์ไปถาม กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่ประทับนิ่งเฉย

"เราเองก็รู้ว่าสัจจะวาจาที่กล่าวไปนั้น ขุนหลวงแลเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อมิทรงเชื่อถือน้ำคำพวกเราดอก"

"เช่นนั้นเรามารอดูกันไป" กรมหมื่นจิตรสุนทรมีพระพักตร์เคร่งเครียดขึ้น "เพราะฉันคิดว่า ท่านเจ้าพระคุณขุนหลวงคงจะเสด็จประทับอยู่ได้ไม่เกิน ๒ – ๓ ราตรีนี้ดอก"

แสงจันทร์ฉายส่องสว่างเหนือท้องฟ้าอยุธยามหาธานีค่อยๆถูกเมฆดำเข้าบดบัง ยอดปราสาท ราชวัง วัดวาอารามต่างๆที่เคยสะท้อนแสงเรืองรองระยิบระยับตาหมองเศร้าลงไปราวเงาร้ายได้เข้าครอบงำ ประหนึ่งเป็นดั่งคำเตือนของพิบัตภัยที่กำลังจะกร้ำกรายเข้ามาถึงในไม่ช้า  ไม่มีใครคิดถึงหรือเฉลียวใจเลยว่า เวลาอวสานราชธานีใกล้เข้ามาทุกที เพราะมัวแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเข่นฆ่าทำลายกันเอง ไม่ใช่ลิขิตจากฟ้า แต่เป็นคนต่างหากที่ลิขิตชะตาสูญสิ้นกันเอง

ครั้นแสงเงินแสงทองทาทาบโค้งขอบฟ้าอยุธยามหานครในวันใหม่ ระยิบพริบพราวสดใสทาบทายอดปราสาท ราชวังตลอดจนวัดวาอารามดูงดงามจำเริญตา อากาศยามเช้าแจ่มใสไร้เมฆหมอกปกคลุม แต่ท่ามกลางความสดใสของวันใหม่ที่มาเยือน ได้เกิดข่าวที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ทุกชีวิตในแผ่นดินทองแห่งนี้ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงอันเป็นที่รักและเทิดทูลยิ่งของพสกนิกรได้จากไปไม่หวนคืน

"สวรรคตแล้ว...."

เจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์บอกกันปากต่อปากตกทอดถึงขุนนางอำมาตยาธิบดีที่หมอบเฝ้าในวัง

"พระพุทธเจ้าหลวงสวรรคตแล้ว" เป็นเสียงละล่ำละลักสะอึกสะอื้นบอกต่อๆ กันไปในวังหลวง, วังหน้า, วังหลัง, และวังเจ้านายอื่นๆ ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคต และเชื้อสายของพระองค์แบ่งแยกเป็นกลุ่มใหญ่ๆสองกลุ่ม ต่างฝ่ายต่างส้องสุมกำลังไว้เป็นจำนวนมาก ขุนนางเองก็แบ่งแยกเป็นสองฝ่ายตามแต่จะสนับสนุนใคร กลุ่มแรกเป็นกลุ่มของกรมพระราชวังบวรมงคล(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ประกอบด้วยกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) เจ้าพระยาอภัยราชา พระยากลาโหม พระยาพระคลังและขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเพราะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง กลุ่มนี้มีกองบัญชาการที่ตำหนักสวนกระต่าย ของกรมพระราชวังบวรฯ

กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มของเจ้าสามกรมประกอบด้วยกรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด) ตั้งกองบัญชาการที่ตำหนักศาลาลวด ทั้งสามกรมส้องสุมผู้คนไว้เงียบๆอยู่ก่อนแล้ว ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก)ยังทรงวางตัวเป็นกลาง

อยุธยายศยิ่งฟ้ามาแต่กาลก่อน ดังมีโคลงพระราชนิพนธ์บนสมุดข่อยอยู่ในหอหลวงว่า

๏ อยุธยายศยิ่งฟ้า ลงดิน................. แลฤๅ
อำนาจบุญเพรงพระ........................ก่อเกื้อ
เจดีย์ลอออินทร...............................ปราสาท
ในทาบทองแล้วเนื้อ........................นอกโสม ฯ


นับแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงสวรรคตแล้ว

อยุธยา  ยศยิ่งฟ้า ฤายศจะดิ่งลงดิน และลงต่อไปถึงไหนต่อไหน ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย

พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคตเมื่อ เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ ปีขาล สัมฤทธิศกเวลา ๕ โมงเย็น

จุลศักราชที่  ๑๑๒๐ พุทธศักราช ๒๓๐๑



golem237

ขอบคุณมากครับ เป็นเรื่องที่มีภาษาไทยและธำรงค์ไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ชาติดีมาก

เป็นการกระทำที่น่ายกน่องครับ ขอขอบคุณจริงๆ

somc217


areja

#3
ใครจะอ่านผลงานท่าน ถ้าทำตามกติกาท่านว่างไว้ไม่ได้ แล้ว รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ
,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ.
อะไรประมาณนี้ แบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล
เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆ ถ้าเจอในผลงาน อาจารย์พี่นีโอ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างท่าน กับสมาชิก
::Fighto::  เมื่อผ่าฝืน เกรียนมาก็จำเป็นที่ต้องแบน เพื่อสมาชิกอีกส่วนเพราะไม่เช่นนั้น ::Falling::
รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..


กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ 




การตอบ รีพลายอย่าง พอเหมาะพอควรถ้าเจ้าของกระทู้แจ้งมา จะพิจารณา เป็นรายกรณี

ถ้าตอบ เช่น zzzzddd xxxx2222 อิอิ,ลุ้นๆ,555, ดีดี,ดี, ต่อ,ติดตาม,ty,thx,thx kub(Thx ขี้หมาThanx พิมพ์ไม่ถูก
ห้ามใช้ทุกกระดานที่ ฉันดูแล
),ใจจร้า,ใจครับ,แจ่ม,เยี่ยม,สนุกดี,สุดยอด,อ่านต่อ,Good (เฉยๆ)
emo เปล่าๆ
อาจเตือนเห็นอีก ถ้าเตือนไปแล้ว ผิดซ้ำซากก็จะแบนเหมือนกัน รีพลายตอบซั่วๆ ตอบแล้ว mod ไม่เข้าใจ จะโดนแบน
รีพลายมักง่ายต่างๆ จะแบนครั้งแรก 6 เดือน คราต่อไป แบนยาวขึ้น แล้วจะหายเมื่อไม่ปรับปรุง

พวก ก๊อปตอบ รัวๆรวดเดียวเป็น 10 กระทู้ โพสต์ละ 1 นาทีนะ เจอจะ แบน ถ้ามักง่ายเช่นนี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติ์
คนแบ่งปัน/ คนลงงาน..พวกเปิดรัวๆ ประโยคเดียวเป็น 10 มันควรหรือ? ตอบซ้ำมาหลายครัง ในกระทู้เดียวกัน
อาจโดนพักใช้ได้เหมือนกัน และห้ามใช้ ข้อความจากระบบในการตอบรีพลายเด็ดขาด! มันมักง่ายประเภทเดียว
กับก๊อปตอบ จะแบน ครึ่งปี ครั้งต่อแบนเพิ่มขึ้นอีก และ หายจากบอร์ด
         

            ผลงานที่ สมาชิกอุตสาห์นำมาลง ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือขอมาลงล้วนได้มาด้วยการสละเวลา
            ถ้าจะตอบมามักง่ายก็ อย่าใช้ห้องนี้ เสพผลงานเลยไปหาเสพที่ใดแล้ว รีพลายตอบ นั้นได้ ก็ไป
            อย่าทะลึ่งมา เปรี้ยว มา เกรียน ลอง  สด ,เก๋า อย่าเลย จะเสียน้ำใจเสียความรู้สึกเปล่าๆ
            เพราะถึงคุณมี 100 ยูส 1000 ชื่อ ถ้ารีพลายผิดกฏ-กติกากระดานนี้ ฉัน ก็จะแบนหมด

...................................................................

ถ้าถูกแปะเตือนที่ โพสต์หรือกระทู้คุณ และส่งไปที่ pm คุณ จงรีบปรับปรุงรีพลายซะ ขอบคุง,ขอบหี,ขอบควย
ขอบหมา,ขอบแมว,ขอบคุน
เตือนนะอย่าลองของ ใครโดนเตือนไปให้ปรับปรุงการรีพลายเจอ ครั้ง 2 จะลบ
ทุกกระทู้ที่ตอบ และพบถ้าอีกรอบ จะแบน 6 เดือนเหมือนโทษ ป้วนเกรียนอื่นๆ....

คำขอบคุณยังเขียนไม่ถูกความหมายมันจะถูกไหม? ที่ต้องมาเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะชักเยอะพวกมักง่าย เยอะ
ไรต์ คนลงงาน ก็ติมาด้วย..เครนะ ขอกันดีๆ จะไม่โดนลบของเก่าทิ้ง แต่ยังรีพลายอีก ถ้าเตือน เตรียมหาที่อ่านใหม่เลย..
แว่น ยกตัวอย่างคำ ขอบคุณเขียนไม่ถูกชัดไหม?

ใคร ขอบคุณ รีพลาย เขียนไม่ถูกต้องแบนแล้วนะ ให้โอกาสเตือน 1 ครั้ง มันเป็นคำขอของ ไรต์ และ คนลงงาน
เรื่องความมักง่าย เพราะ ขอบคุณ เฉยๆก็ดูเอียนจริงๆ แต่ก็เป็นคำสากลในการตอบแทนน้ำใจ ฉะนั้น ขอเถอะเขียนให้ถูก
เมื่อต้องปรับเปลี่ยนก็ต้องคล้อยตามกัน กฏไม่ได้ใช้กับใคร? เพียงคนเดียว และไม่ยากเกินไป 
คิดว่าสร้างมาตรฐาน กันใหม่อีกสิ่ง ถ้ายากก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ กระดานนี้ เพราะ ฉันแบนแน่.. 

อ๋อ thx ขี้หมา นี้หรือ เขียนไม่ครบ thank กระดาน แว่น ดูแลอย่าให้เห็นนะ แบน ย้ำซะขนาดนี้พิมพ์มาอีกถือว่าลอง
บางคนโวยวาย ขำ   thx ขี้หมา แค่นี้ก็แบน ถุย! ก็ตรรกะเอ็งมันมักง่ายไง เงื่อนไขง่ายๆถึงออกมาแถ มันยากนักคุณมึง
ก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ เวปนี้ไม่ง้อ บอร์ดอยู่มาได้ไม่ต้องพึ่งคนมักง่ายใช้ตรรกะปลิง จ้องจะสูบทั้งที่ใช้ฟรี เสือกเยอะ
ไรต์เขียนมาหาข้อมูลมากว่าจะจบแต่ละตอน ไอ้ซากปลิง เข้ามา Thx  เหอะๆ เอาใช้ไปหาที่เสพที่อื่นเถอะ เวปนี้แบน

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน
แบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึก ด้วยรีพลายคุณเองเลย
เขียน ขอบคุณ ให้ถูก ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,
ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น.
.


pinmonkey

ความรักชาติของคนไทย  ทำให้ไทยยังเป็นไทยจนปัจจุบันครับ ขอบคุณมากครับ

peddo

ทำละครหลังข่าวได้เลยครับ รายละเอียดแน่นปึ้กเลย บทบรรยายและตลกแทรกก็พอเหมาะ ขอบคุณครับ

dwarf

ขอบคุณครับ...ถือว่า..เนื้อเรื่องที่กล่าวเป็นเกร็ดพงศาวดารได้หรือไม่ครับ

xonly-1092

#7
thank you

14/10/2560

อ้างจาก: นีโอ เมื่อ ตุลาคม 18, 2016, 01:01:59 ก่อนเที่ยง
นายคนนี้ใครๆก็บ่นว่าเป็น Bot  จัดการให้ทีเถอะ หลายครั้งแล้ว
ตอบรัวๆยังงี้ เห็นแล้วมันพาลหมดเรี่ยวหมดแรงจะลงงาน
ไม่ต้องตอบยังจะดีซะกว่า ข้อความไปขอร้องหนก่อนที ก็ยังจะทำอีก


อ้างจาก: xonly-1092 เมื่อ ตุลาคม 17, 2016, 10:51:23 หลังเที่ยง
thank you
ตำนานนายขนมต้ม เล่ม ๓ ตอนที่ ๒( 1 ปี 18/10/2559-18/10/2560 )
คงได้เวลาแล้วนะ bot กฏไม่สน ไรต์เคยขอไปก็ไม่ปรับปรุง mod หลายคนก็ให้โอกาสก็ยังละทิ้ง
ครั้งนี้คงต้องพักใช้นะเรา เบาๆ 1 ปี

keng001

ตามตรงนะครับ เริ่มกดอ่านที่ตอนนี้เลย เริ่มแรกก็ยังไม่อะไรมาก แต่เมื่ออ่านๆไป
ก็ทึ่งกับเนื้อเรื่องคำประพันธ์มากครับ เนื้อเรื่องแทบจะเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ชวนติดตามยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเมื่อไม่ได้เริ่มอ่านจากตอนแรกและยังไม่ได้อ่านตอนต่อไป
ก็ยังให้ความเห็นอะไรมากไม่ได้ เพียงแต่ตั้งความหวังไว้ว่า
จะเป็นเรื่องของ "นายขนมต้ม" น่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ