ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_keng7799

ศิลาปฏิสาร The Paradox 1.1 (ผลงานท่าน Buta) ตอนที่ 1

เริ่มโดย keng7799, มิถุนายน 06, 2017, 04:15:55 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

keng7799

เป็นผลงานของท่าน BUTA ทราบข่าวว่าท่านเสียแล้ว แต่เป็นผลงานที่ผมชอบ และเก็บไว้นานแล้ว จึงอยากขอแบ่งปันให้เพื่อนสมาชิก เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยาวมาก จึงขอตัดเป็นตอนๆไปนะครับ

The Paradox 1.1 ท่ามกลางความเป็นไป

--------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 1.1 ... ท่ามกลางความเป็นไป


พุทธศักราช 2535

แสง จันทร์ 14 ค่ำคืนก่อนวันลอยกระทงส่องสว่างจนทางเดินที่ปราศจากไฟถนนเบื้องหน้าดูราวกับ กลางวัน แต่หากเป็นช่วงคืนเดือนมืด เส้นทางสายนี้จะกลายเป็นเส้นทางที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนเล็กๆ ปลายทาง ที่ผ่านมาแม้จะมีการเรียกร้องให้ทางราชการเข้ามาติดไฟถนน แต่ก็ดูเหมือนว่าชุมชนแห่งนี้จะถูกลืมจากโลกภายนอกไปเสียแล้ว..

เงา ของผมทอดยาวไปตามแสงจันทร์ เสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินไปตามถนนดูจะดังเป็นพิเศษในยามค่ำคืนเช่นนี้ ถ้าหากเป็นย่านชุมชนอื่น เวลานี้คงเป็นเวลาที่ผู้คนกำลังสนุกสนานกับเทศกาลลอยกระทง เสียงประทัดดอกไม้ไฟ และเสียงของความสนุกสนานคงจะดังระงมไปทั่ว แต่สำหรับชุมชนคลองน้อยแห่งนี้ ความสนุกสนานไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักจากการที่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นคนฐานะ ยากจน และต้องการพักผ่อนเพื่อต่อสู้กับงานหนักในวันรุ่งขึ้น

ลูกน้อง ผมทั้งสามคนที่คอยติดตามผมเป็นเงาตามตัวแทบจะ 24 ชั่วโมง คงล่วงหน้าไปถึงบ้านพักของแก๊งค์ผมแล้ว ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสายตาของทุกคนที่มองผมอย่างไม่เข้าใจเมื่อผมสั่ง ให้รถล่วงหน้าไปก่อน และขอเดินกลับไปคนเดียวเงียบๆ แน่ละในฐานะหัวหน้าของแก๊งค์คลองน้อยที่มีศัตรูรอบด้านพยายามกำจัดผมเพื่อ ขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ผมต้องคอยระวังตัวตอลดเวลา โดยไม่เคยห้างจากลูกน้องที่รับหน้าที่คุ้มกัน แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่มีแต่เพียงผมเท่านั้นที่รับรู้และไม่ต้องการให้ใครเข้ามามีส่วนเกี่ยว ข้องกับอดีตที่ผมอยากจะลืม แต่ไม่มีวันลืมได้

ความเงียบรอบข้างทำให้ ผมได้ยินเสียงเบาๆ มากระทบประสาทรับรู้ที่ไวเป็นพิเศษจากการที่ต้องตกอยู่ภายใต้การต่อสู้แย่ง ชิงระหว่างแก๊งค์มาโดยตลอด มันเป็นเสียงของการต่อสู้กันอย่างไม่ผิดพลาด แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติของย่านนี้ หากไม่กรทบกระเทือนต่อผมและแก๊งค์คลองน้อยผมก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว ใดๆ โดย เฉพาะในคืนนี้ แต่ก่อนที่ผมจะเดินผ่านทางแยกเล็กๆ ที่แยกไปสู่สวนผลไม้ แสงจันทร์ทำให้ผมเห็นล้อหลังของจักรยานเก่าๆ คันหนึ่งซุกอยู่ในพงหญ้า หนังสือเรียน 2-3 เล่มกระจายอยู่ข้างล้อ แม้จะไม่ใช่เวลากลางวันผมก็ยังเห็นตัวหนังสือบอกชื่อโรงเรียนมัธยมสตรีวิทยา อย่างชัดเจน หัวใจผมตกวูบเมื่อตระหนักได้ว่าชุมชนแห่งนี้มีเด็กหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เรียนเก่งจนสามารถสอบเข้าโรงเรียนของรัฐที่มีชื่อเสียงได้ ใบหน้ากลมใสที่ประดับด้วยแว่นสายตาสีแดงอันโต ที่ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งในอดีต เสื้อผ้าหลวมโคร่ง ร่างเล็กๆ ที่ปั่นจักยานกว่า 3 กิโลไปต่อรถเข้ากรุงเทพฯ ทุกเช้า ปรากฏขึ้นในมโนภาพ ทำให้ผมต้องร้องออกมาในใจ

"น้องพิม"

โดยไม่ต้องหยุดคิด ผมรับรู้ทันทีว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นในพงหญ้าข้างทาง เสียงต่อสู้ที่เงียบหายไปทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเกลียดชังที่สุดกำลังจะเกิด ขึ้น และผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ผมดูแลอยู่อย่างแน่นอน สองเท้าพาผมเคลื่อนวูบไปตามรอยหญ้าที่ล้มระเนระนาดเป็นทางไปสู่ด้านลึกของพง หญ้า เสียงพึมพำด้วยความหื่นกระหายเริ่มดังมากระทบหูผม

"แม่ง...ตัวนิดเดียว แต่ซ่อนรูปชิบหายเลยว่ะ.."
"กูบอกมึงแล้ว วันฝนตกมันเปียกฝนเลยเห็นว่าแม่งนมบะเริ่ม"
"เฮ้ย รีบๆ เข้า...เดี๋ยวใครมาเห็น..."
"ไอ้เหี้ยช้าง...ถอยไป กูบอกแล้วไงกูต้องเปิดซิงมันก่อน..."

เสียง ดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมพ้นพงหญ้ามาถึงลานเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ภาพเบื้องหน้าทำให้ความโกรธของผมพลุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด..ร่างชายสามคนกำลัง รุมล้อมร่างของน้องพิมที่เปลือยเปล่า เสื้อผ้าชุดนักเรียนมมัธยมต้นถูกกระชากทิ้ง กระจัดกระจายรอบข้าง ชายสองคนกำลังตรึงข้อมือของน้องพิมไว้แน่น ใช้มือที่ว่างขยำหน้าอกเปล่าเปลือยอย่างหื่นกระหาย ส่วนอีกคนหนึ่ง ซึ่งคงเป็นหัวหน้ากลุ่ม คุกเข่าอยู่ที่ด้านหน้าขาของน้องพิม ซึ่งถูกแยกออกโดยหัวเข่า ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ชี้เด่อยู่เบื้องหน้าเนินเนื้อของ ร่างน้อยหมดสติโดยมีคราบน้ำตาไหลเป็นทาง ปากถูกอุดด้วยเศษผ้า แสดงให้เห็นว่าก่อนหมดสติ น้องพิมพยายามต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ไม่สามารถทานแรงของผู้ชายสามคนได้

ชายที่คร่อมร่างของน้องพิม สะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ว่ามีบุคคลอื่นมาอยู่ตรงหน้า ร่างกำยำลุกขึ้นมองผมด้วยสายตาลังเลชั่วครู่ก่อนเปลี่ยนไปเป็นแววตาดุร้าย เมื่อเห็นว่าผมมาเพียงคนเดียว..

"ข้ามถิ่นมาทำบัดซบถึงที่นี่เลยนะไอ้ธง"

ผม คำรามออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่กำลังจะข่มขืนเด็กหญิงที่ปราศจากทางสู้ ไอ้ธงเป็นหัวหน้าแก๊งค์คลองโคน ที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราว 2 กิโล ที่ผ่านมาแก๊งค์ของมันพยายามขยายอิทธิพลเข้ามา แต่ไม่สามารถผ่านแก๊งค์คลองน้อยของผมได้..ไอ้ธง ยิ้มแสยะ จ้องตาผมอย่างไม่กลัวเกรง

"แล้วมึงจะทำอะไรกูได้วะ ไอ้วิท มาคนเดียวแบบนี้มึงคงสั่งเสียลูกน้องมึงแล้วใช่ไหมวะ"

เสียง หัวเราะประสานของลูกน้องไอ้ธงด้านหลังดังขึ้น ขณะที่ไอ้ธงเอื้อมมือไปรับมีดเดินป่าจากลุกน้อง แล้วขยับไปมาข้างหน้าผม ผมส่ายหน้าช้าๆ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้สั่นเล็กน้อยเพื่อทำให้ไอ้ธงคิดว่ามันเป็นฝ่ายได้ เปรียบ

"กูไม่อยากมีเรื่อง มึงปล่อยเด็กซะ แล้วกลับไป ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

ไอ้ธงหัวเราะลั่น

" ปล่อยให้โง่สิวะ อีเด็กนี่แม่งน่าเย็ดขนาดนี้ ซ่อนรูปทั้งหีทั้งนม เรื่องอะไรกูจะปล่อยวะ มึงนั่นแหละที่ต้องเป็นผีอยู่ที่นี่ เสือกโง่มาหาที่ตายเอง ช่วยไม่ได้นะโว๊ย"

ขาดคำไอ้ธงโถมเข้าแทงด้าน หน้าตรงๆ ระยะ 3 ก้าวแบบนี้หากเป็นคนอื่นคงหลบไม่พ้น แต่สำหรับผู้ที่ฝึกมวยคชสีห์มานานปีเช่นผม เพียงอาศัยเท้าซ้ายเป็นแกนสามเหลี่ยม หมุนตัวเบี่ยงให้คมมีดเฉียดเสื้อไป ศอกที่เตรียมพร้อมกระทุ้งเสยใต้ท่อนแขนของไอ้ธงเต็มแรงเสียงดังกร๊อบ ของกระดูกอ่อนใต้แขนหักดังลั่น ไอ้ธงเซถลา มีดตกลงพื้นทันที ผมเคลื่อนเท้าไปเหยียบไว้ แล้วคำรามใส่ไอ้ธงที่กำลังจ้องผมอย่างไม่เชื่อสายตา

"กูเตือนครั้งสุดท้าย มึงจะกลับไปไหม"

ไอ้ธงหันไปสั่งลุกน้องทั้งสองคนที่กำลังตะลึงเมื่อเห็นหัวหน้าถูกปลดอาวุธภายในอึดใจเดียว

"ไอ้ช้าง ไอ้ยม ฆ่าแม่งเลย.."

ทั้ง สองร่างโผเข้าหาผม ไอ้ช้างถือมีดขนาดย่อมพุ่งเข้ามา ในขณะที่ไอ้ยมมือเปล่าแต่ก็โถมเข้าต่อยผมพร้อมกัน ผมนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ที่บอกว่า การต่อสู้แบบถูกรุมไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความปราณีใดๆ ผมเบี่ยงร่างหลบการแทงของไอ้ช้าง หมุนตัวเข้าศอกกลับใส่ลิ้นปี่ของไอ้ยมเต็มแรง จนร่างไอ้ยมงองุ้ม เปิดทางให็ศอกผมปักลงไปที่คอต่อด้านหลังเสียงกระดูกคอหักลั่น ส่งแรงสะท้อนมาถึงข้อศอก ร่างผมเคลื่อนต่อไปที่ไอ้ธงที่เพิ่งยั้งตัวได้ ขาขวาตะหวัดเข้ากลางหว่างขาไอ้ช้าง จนร่างกำยำทรุดลงงอตัวกับพื้น หางตาผมเหลือบเห็นไอ้ธงลุกขึ้นเก็บมีดติดมือมาพุ่งเข้าแทงผมทางด้านหลัง แต่เพียงใช้เท้าขวาเป็นแกนหมุนตัวเบี่ยงหลบ มือซ้ายที่ถือมีดของไอ้ธงก็ตกอยู่ในอุ้งมือของผม พลิกข้อมือกลับครั้งเดียวคมมีดก็กลับฝังเข้าที่หน้าอกของไอ้ธงจนมิดด้าม เลือดพุ่งกระฉูดออกมา เสียงครอกลั่นดังจากลำคอไอ้ธง แล้วหายไปพร้อมชีวิตชั่วๆ ของมัน ผมก้มตัวลงดึงมีดออกจากร่างไอ้ธง หันไปยังร่างไอ้ช้างที่ยังคงก้มตัวงออยู่กับพื้น กระชากผมให้ใบหน้าหงายขึ้นแล้วปาดคมมีดกับลำคอเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอสำหรับการสำเร็จโทษ

ผมปล่อยให้ร่างปราศจากชีวิตทั้งสาม ระเกะระกะอยู่บนลาน หันไปหาร่างน้องพิมที่ยังคงนอนหมดสติอยู่บนพื้น เรือนร่างเปล่งปลั่งขาวโพลนของเด็กหญิงมัธยมต้นอายุเพียง 12 ปีปรากฏอยู่เบื้องล่างกลางแสงจันทร์ ใบหน้าเด็กหญิงยังคงริ้วรอยของการถูกทำร้ายอย่างทารุณ ดวงตาบวมเป่งและรอยเลือดที่มุมปากบอกให้รู้ว่าน้องพิมต่อสู้ป้องกันตัวอย่าง เต็มที่ แต่ไม่อาจต้านทานแรงของชายฉกรรจ์สามคนได้ สายตาผมเลื่อนลงมาจับจ้องหน้าอกขนาดเท่าผลส้มขนาดใหญ่ประดับปลายด้วยหัวนม น้อยๆ เนินนูนเบื้องล่างมีขนอ่อนขึ้นประปราย ยิ่งขับเน้นความโหนกนูนเกินวัยของน้องพิมอย่างชัดเจน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้ดีว่าร่างของน้องพิมนี้สามารถกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของผู้ชายทุก คนได้ และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ๊เหล็งแม่ของน้องพิมต้องหาเครื่องแต่งกายหลวมๆ ให้น้องพิมเพื่อปกปิดเรือนร่างจากพวกหื่นกาม แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงพ้น อย่างไรก็ตามผมก็ยังโล่งอกเมื่อรับรู้ว่าเรือนร่างงดงามเยาว์วัยนี้ยังไม่ ถูกย่ำยีด้วยน้ำมือทรชนที่ถูกผมลงโทษไปแล้วอย่างสาสม..

ผมทรุดตัวลง ข้างร่างน้องพิม ดึงชิ้นผ้าออกจากปากเด็กหญิง และพบว่ามันคือกางเกงในฝ้ายสีขาวราคาถูก ที่ขาดวิ่นจากแรงฉีกกระชาก ผมได้แต่ถอนใจ รวบรวมเสื้อผ้าชุดนักเรียนที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัวมากองไว้บนร่างน้องพิม ก่อนอุ้มร่างเด็กหญิงขึ้นในวงแขน แล้วลุกขึ้นพาออกไปจากสถานที่ที่ไม่น่าจดจำแห่งนี้ เพื่อที่หากน้องพิมได้สติจะได้ไม่ต้องตกใจกับภาพศพที่อาจจะเป็นภาพหลอกหลอน จิตใจไปตลอดชีวิต

ผมอ้มร่างเปลือยทะลุผ่านพงหญ้าโดยหลีกเลี่ยงทางถนน เพราะไม่ต้องการให้ใครพบเห็นและรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นานนักผมก็มาถึงด้านข้างของบ้านพัก ผมรีบกดโทรศัพท์หานังทิพย์ที่ผมรู้ว่ายังคงอยู่ในบ้านทันที ครู่เดียวเสียงแจ่มใสของนังทิพย์ก็ดังขึ้น

" เฮียวิทย์เหรอ...อยู่ไหนเนี่ย"
"เออ เฮียเอง ทิพย์มาเปิดประตูข้างให้หน่อยเฮียอยู่ตรงนี้ มีเรื่องด่วนให้ช่วย"
"เดี๋ยวนะเฮีย..."

นัง ทิพย์วางหู โดยไม่ถามอะไรเซ้าซี้ นี่เป็นคุณสมบัติของนังทิพย์ที่ผมชอบ นังทิพย์จะรับใช้ผมทุกเรื่องโดยไม่ปริปากถามเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
เสียง ถอดสลักประตูดังแกร็ก ร่างเด็กสาวอายุไม่เกิน 20 ปีปรากฏขึ้นตรงหน้า นี่คือนังทิพย์ คนสนิทของผม ใบหน้าแม้จะยังคงสวยโฉบเฉี่ยว แต่ริ้วรอยหยาบกร้านจากประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนไม่สามารถปิดบังได้ อดีตเด็กใจแตกที่หนีออกจากบ้านเมื่ออายุเพียง 11 ปี ถูกข่มขืนปางตายจากเด็กเร่ร่อน ต้องทำงานขายตัวอยู่ที่สวนลุมพินีจนติดโรคงอมแงม ผู้ที่พบเห็นคงไม่เชื่อว่าเด็กสาวคนนี้เกิดในชาติตระกูลดี ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนคอนแวนต์มีชื่อย่านสีลม พรหมลิขิตชีวิตคนช่างโหดร้ายสำหรับบางชีวิตจริงๆ

นังทิพย์อ้าปากค้างเมื่อเห็นผมอุ้มร่างกึ่งเปลือยของเด็กหญิงเอาไว้ เพียงเห็นหน้าแว่บเดียวนังทิพย์ก็ส่งเสียงอุทานเบาๆ

"ยายพิม..นี่...เฮีย..."
"ไม่ต้องถามอะไร ตามมานี่"

ผม พูดสียงเรียบไม่ปล่อยให้นังทิพย์ถามอะไร ทำให้นังทิพย์ปิดปากลงทันที หันไปปิดประตูและตามผมเข้าไปในบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปที่ห้องนอน ผมวางร่างน้องพิมลงบนเตียงนอนแล้วหันไปสั่งนังทิพย์ที่ยังคงมีท่าทางงุนงง

"ทิพย์เช็ดตัวทำแผลให้น้องเขาด้วยนะ เสร็จแล้วก็หาเสื้อผ้าให้ใส่ อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?"

นัง ทิพย์พยักหน้ารับ ก่อนหันไปจัดการตามคำสั่ง ผมหันกลับออกมาจากห้องแล้วรีบไปที่ลานด้านหน้าบ้าน ซึ่งลูกน้องผมทั้งสามยังคงยืนคอยผมอย่างกระวนกระวาย ไอ้ชัยเป็นคนแรกที่หันมาเห็นผมแล้วรีบเดินตรงเข้ามารับหน้าทันที..

"เฮีย..."

ผมโบกมือเป็นเชิงห้าม แล้วกวักมือเรียกไอ้เชิด กับไอ้วุฒิ เข้ามาหา ก่อนสั่งด้วยเสียงปกติ

"พวกมึงไปเอายางรถยนต์เก่าขึ้นรถสัก 10 เส้น แล้วไปที่ทางแยกเข้าสวนของตาแม้น รู้จักใช่ไหม"

ทั้งสามคนพยักหน้ารับ

"พอ ไปถึงก็เข้าไปสัก 50 เมตร จะมีลานว่างเล็กๆ มึงไปช่วยกันจัดการซะ แล้วขากลับก็เอาจักรยานและหนังสือเรียนที่ตกอยู่ตรงปากทางแยกกลับมาด้วย..กู จะรอที่นี่"

ไอ้ชัยเอ่ยปากถามเบาๆ..

" 10 เส้น กี่คนเฮีย.."

ผม ชูนิ้ว 3 นิ้วให้ดู ไอ้ชัยพยักหน้าแล้วแยกย้ายไปที่รถ..ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ทั้งสามคนรู้ดีกว่าการใช้ยางรถยนต์เผาเป็นวิธีที่กำจัดซากศพได้ดีที่สุด ในโลกของผมแห่งนี้มันเกิดขึ้นบ่อยจนแทบจะเป็นเรื่องธรรมดา และผมมั่นใจว่าลูกน้องคนสนิททั้งสามคนที่ตามผมมาหลายปี ต้องทำหน้าที่นี้ได้อย่างไม่ผิดพลาด โดยเฉพาะไอ้ชัย ที่เป็นลูกน้องรู้ใจผมมาตั้งแต่ผมหลบหนีคดีมาถึงกรุงเทพใหม่ๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เด็กชายหน้าใสราวผู้หญิงอย่างไอ้ชัย ไม่มีใครรู้ว่ามันเคยผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายซึ่งน้อยคนจะทนทานได้ไม่ต่าง จากผม และภูมิหลังนี้เองที่ทำให้ไอ้ชัยกับผมผูกพันกันมาตลอด

ผมหัน กลับเข้าไปในห้องนอน นังทิพย์เช็ดตัวน้องพิมอย่างตั้งใจ ภายใต้แสงไฟสว่างร่างเปลือยเปล่าของน้องพิมปรากฎร่องรอยฟกช้ำจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าท้อง ต้นขา หรือแม้กระทั่งหน้าอกที่มีร่องรอบฟันกัดย้ำอย่างชัดเจน ผมทรุดกายลงนั่งข้างเตียงเฝ้ามองนังทิพย์เช็ดคราบเลือดที่มุมปากเรียวบาง ด้วยความรู้สึกหดหู่ที่มนุษย์เพศชานสามรรถกระทำกับเด็กผุ้หญิงที่ไม่สามารถ ต่อสู่ได้แบบนี้

"ใครมันทำหนูพิมแบบนี้น่ะเฮีย"

นังทิพย์ถาม ผมเบาๆ ทั้งที่มือยังสาละวนกับการเช็ดตัวน้องพิม ดวงตานังทิพย์ปรากฏรอยน้ำตาเลือนลาง ผมรู้ดีว่านังทิพย์กำลังคิดถึงอดีตที่เคยถูกชายที่นังทิพย์เชื่อว่าเป็นแฟน พาไปให้เพื่อนทั้งกลุ่มลงมือข่มขืน และพาไปขายซ่องโสเภณีย่านสำเพ็ง ซึ่งกว่านังทิพย์จะพ้นจากนรกได้ด้วยความช่วยเหลือของผม เด็กหญิงที่เคยสดใสร่าเริงราวดอกไม้แรกแย้มก็กลับกลายเป็นซากต้นไม้แห้งที่ ไร้จิตใจ กว่าห้าปีที่นังทิพย์ติดตามผมแม้จะทำให้เด็กสาวคนนี้มีความสุขจึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถลบเลือนรอยแผลทางจิตใจในอดีตได้..

"ไอ้ธงกับเพื่อนอีกสอง"

ผมตอบเบาๆ เหมือนไม่สนใจ นังทิพย์หันมามองหน้าผม..

"แล้วยายพิม.."

ผมส่ายหน้า..

"ยัง...ทันพอดี.."

นังทิพย์ถอนหายใจ...เอื้อมมือลงไปกุมเนินนูนเบื้องล่างของน้องพิม ลูบไล้ไปมา แล้วพึมพำเบาๆ..

"โชคดีจริงๆ เด็กเอ๋ย.."

นัง ทิพย์หันไปหยิบเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่เตรียมไว้บนเตียง แล้วประคองร่างน้องพิมขึ้นมาสวมเสื้อกับกางเกงให้ ผมมองดูทรวงอกตูมเต่งที่หายไปอยู่ภายใต้เสื้อยืด ตามด้วยเนินเนื้อโหนกนูนที่ถูกบดบังด้วยกางเกงขาสั้นของนังทิพย์ โดยปราศจากความรู้สึกอื่นใดนอกจากความสลดใจ แม้ร่างเปลือยนี้จะงดงามจนสามารถกระตุ้นตัณหาของเพศชายได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่มีผลสำหรับผมแม้แต่น้อย

เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นในลำคอน้องพิม นังทิพย์รีบประคองร่างเด็กหญิงให้ลงนอนราบบนเตียง พร้อมกับใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าซ้ำเพื่อกระตุ้นความรู้สึก ทันใดนั้นน้องพิมพก็ทะลึ่งร่างลุกขึ้นพรวด แล้วกรีดเสียงร้องออกมาดังลั่น...

"อย่า...อย่าทำหนู...ช่วยด้วย..."

นังทิพย์รีบกดร่างน้องพิมลงกับเตียง ใช้ฝ่ามือตบหน้าเด็กหญิงเบาๆ หลายครั้ง พร้อมส่งเสียงเรียก..

"พิม พิม ไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว...ได้ยินไหม.."

เสียง ร้องของน้องพิมค่อยๆ ลดระดับลง ดวงตาลืมขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นความแปลกใจอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าตนเองอยู่ในห้องที่ สว่างจ้า และมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังปลอบอยู่..ริมฝีปากบางเรียวส่งเสียงเบาๆ อย่างไม่แน่ใจเมื่อสติเริ่มรับรู้..

"พี่ทิพย์...นี่..พิม อยู่ที่ไหน...พวกมันจับพิมไป พวกมัน..."

น้องพิมเริ่มส่งเสียงสื่อสาร อย่างไม่ปะติดปะต่อ นังทิพย์รีบเอานิ้วไปกดปากของเด็กหญิงไว้เพื่อหยุดการพูด

"ไม่มีอะไรแล้ว เฮียวิท ไปช่วยพิมไว้ ไม่มีใครทำร้ายพิมแล้ว"

น้องพิมหันมาเห็นผมอยู่ในห้องด้วย ใบหน้าเด็กหญิงซีดเผือกด้วยความตกใจ ร่างเล็กๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที ส่งเสียงสั่นๆ ออกมา..
"เฮียวิท..."

ผม ไม่แปลกใจที่น้องพิมตกใจกลัวเมื่อเห็นหน้าผม เพราะทุกคนในชุมชนคลองน้อยล้วนรับรู้ว่าผมคือหัวหน้าแก๊งค์ผิดกฎหมายในชุมชน ที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินและอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นการค้ายา ค้าของเถื่อน หรือแม้กระทั่งการเรียกค่าคุ้มครอง ทำให้ภาพของผมในสายตาคนในชุมชนคือคนที่พึงหลีกหนีและไม่สมควรเข้าไปเกี่ยว ข้องด้วย

นังทิพย์ลูบศีรษะน้องพิมอย่างปราณี ก่อนปลอบเบาๆ

"ไม่ต้องกลัวเฮียวิทหรอก เฮียเขาพาน้องพิมมาที่นี่เอง..."

น้อง พิม มีสีหน้าผ่อนคลาย แต่แล้วดูราวกับว่าคิดอะไรได้ สองมือของเด็กหญิงรีบตะปบลงที่กลางหว่างขา ด้วยสีหน้าตกใจ. นังทิพย์รีบจับมือน้องพิม และดึงออกมาก่อนปลอบอย่างนุ่มนวล

"พิมไม่เป็นไร เฮียวิทไปถึงทันพอดี พวกมันยังไม่ได้ทำอะไร ไม่ต้องกลัวนะ..."

น้อง พิมมีสีหน้าผ่อนคลายลง ใบหน้าเด็กหญิงเริ่มปรากฏเลือดสูบฉีดขึ้นที่ผิวหน้า เมื่อพบว่าเสื้อผ้าชุดนักเรียนถูกเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ส่วนชุดนักเรียนมัธยมต้นที่ฉีกขาดถูกกองไว้ที่ปลายเตียงในสภาพที่ไม่สามารถ นำมาใช้ได้อีก นังทิพย์ดูเหมือนจะล่วงรู้ความในใจของเด็กหญิง

"พี่ เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องพิมเองแหละ..แต่เฮียวิท เขาเป็นคนอุ้มน้องพิมมาที่นี่ ไม่ต้องอายนะ มันเป็นเรื่องจำเป็น ที่สำคัญที่สุดคือน้องพิมปลอดภัยแล้ว.."

น้องพิมลุกขึ้นก้าวลงจาก เตียง เพียงขากระทบพื้น ร่างเด็กหญิงก็เซถลาด้วยความเจ็บปวด ดีที่นังทิพย์รีบคว้าร่างเอาไว้ทัน และประคอง ให้น้องพิมเริ่มเดิน จนมาถึงหน้าผม และก่อนที่ผมจะตั้งหลักได้ น้องพิมก็ปล่อยมือจากนังทิพย์ ทรุดตัวลงกราบผมที่เท้าทันที เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง

"พิมขอบคุณเฮียวิท ที่ช่วยพิมไว้ ไม่งั้นพิมไม่รู้จะเป็นอย่างไร"

ผมก้มลงดึงร่างของน้องพิมขึ้น ให้น้องพิมมองหน้าผมตรงๆ แล้วบอกอย่างจริงจัง

"หนู ไม่ต้องขอบคุณ นี่เป็นที่ที่เฮียคุมอยู่ เฮียไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาทำเรื่องเลวๆ ทั้งนั้น แล้วหนูก็ไม่ต้องกลัว ไอ้สามคนนั่นด้วย เพราะมันจะไม่มีทางมาทำร้ายใครในที่นี้ได้อีกแล้ว"

น้องพิมมีสีหน้างงเล็กน้อยกับคำพูกผม มีแต่นังทิพย์ที่พยักหน้าช้าๆ เป็นสัญญานรับรู้ความหมายและเหตุผลในคำพูด ผมหันไปสั่งนังทิพย์

"เดี๋ยว ไอ้ชัยกับพวกจะเอาจักรยานและหนังสือของหนูพิมกลับมา เอ็งเอาไปใส่รถกระบะแล้วเอาหนุพิมไปส่งบ้านซะ อ้อ.. แล้วบอกยายเหล็งแม่หนุพิมนะว่า หนูพิมถูกรถเฉี่ยวบาดเจ็บ ไม่ต้องบอกเรื่องอื่นล่ะ.."

ผมหันไปทางน้องพิม

"แล้วหนูพิมก็ไม่ต้องบอกใครเรื่องนี้ทั้งนั้น ไม่งั้นจะกลายเป็นเรื่องนินทาจนเสียชื่อเสียอนาคน เข้าใจไหม"

น้อง พิมพยักหน้ารับ ใบหน้าเด็กหญิงแดงจัด แต่ไม่หลบตาผมระหว่างที่ผมพูด แววตาที่ดูคุ้นเคย ประกอบกับแว่นตาที่ประดับใบหน้าน่ารักของน้องพิม ทำให้ใบหน้าหนึ่งปราฏแทรกขึ้นมาแทนที่ หัวใจผมเริ่มเต้นแรง ลมหายใจเริ่มติดขัด มันเป็นอาการที่เกิดกับผมตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมระลึกถึงเหตุการณ์ในสันนั้น วันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง..

ผมหันหลังกลับ เดินออกจากห้องอย่างปุบปับ ส่งเสียงสั่งเป็นครั้งสุดท้าย..

"พรุ่งนี้หยุดเรียนสักวัน นังทิพย์พาหนูพิมไปหาหมอ แล้วพาไปซื้อชุดนักเรียนใหม่ซะด้วย..."
"เฮียวิท..."

เสียงน้องพิมอุทาน..แต่ผมเดินออกมาจากห้องโดยไม่สนใจ มุ่งหน้ามาที่ห้องส่วนตัวของผมที่ชั้นสอง

ถ้า จะใช้คำว่าห้องส่วนตัว ก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะมันเป็นห้องที่ไม่มีเครื่องเรือนชนิดใดแม้แต่น้อย มีเพียงโต๊ะขนาดเล็กความสูงแค่เข่าตั้งอยู่ติดผนังริมหน้าต่าง ผมทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะ กระจกขนาด 1 ฟุตที่วางพิงผนังอยู่บนโต๊ะ สะท้อนให้เห็นภาพของชายหนุ่มอายุใกล้ 30 ปี ที่มีใบหน้ากร้านไปด้วยริ้วรอยของประสบการณ์ชีวิต แม้จะนับได้ว่าเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หน้าตาดี แต่ริ้วรอยและความนิ่งเฉยทำให้เป็นใบหน้าที่ผู้พบเห็นไม่สบายใจเมื่ออยู่ ใกล้ และพยายามหลีกหนีมากกว่าจะเข้ามาทำความรู้จัด

ผมเอื้อมมือไปที่ กล่องไม้ใบเล็กหน้ากระจก มือที่สั่นระริกเปิดฝามันออกอยย่างช้าๆ เผยให้เห็นวัตถุที่ถูกบรรจุไว้ภายใน แว่นสายตาพลาสติคราคาถูกสีแดงนอนสงบนิ่งอยู่เช่นเคย กระจกข้างหนึ่งมีรอยร้าวสะท้อนใบหน้าที่ปวดร้าวของผมให้กลายเป็นภาพที่บิด เบี้ยว น่ากลัว ลมหายใจผมเริ่มติดขัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อผมหยิบแว่นสายตาอันนั้นขึ้นมาลูบ คลำอย่างทะนุถนอม น้ำตาไหลซึมออกมาโดยไม่สามารถกลั้นได้ 15 ปีแล้วที่เข้าของแว่นสายตาอันนี้จากผมไป 15 ปีที่ผมต้องมาใช้ชีวิตห่างจากบ้านเกิดและความอบอุ่นของครอบครัว และมันจะดำเนินต่อไปจนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ..

สายตาที่ฝ้าไปด้วยน้ำตา ของผมจับจ้องที่กรอบรูปขนาดเล็กบนโต๊ะ มันเป็นภาพของเด็กชายวัย 15 ที่ขนาบข้างด้วยชายสูงใหญ่ในชุดสากล ใบหน้าสะท้อนอำนาจและความใจดี หญิงที่ยืนอยู่อีกด้านแม้จะมีวัยเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางคน แต่ยังคงความงามเปล่งปลั่งไว้ราวหญิงสาวแรกรุ่น เด็กชายในรูปแต่งกายชุดนักเรียนของโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงที่สุดของ จังหวัดเชียงใหม่ สองมือประคองเกียรติบัตรสีทองด้วยความภูมิใจ แม้ภาพจะเล้กจนไม่สามารถอ่านข้อความบนเกียรติบัตรได้ แต่ผมก็รู้ว่ามันเขียนไว้ว่า

"รางวัลนักเรียนดีเด่นผลการศึกษายอดเยี่ยมประจำปี มอบให้นายไกรวิทย์ คชสีห์"

------------------------------------------------------------------
พุทธศักราช 2520
"คุณลุง คุณป้า พี่เออยู่ไหมฮะ..."
ชาย วัยกลางคนในชุดสากล ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นร่างเด็กหญิงวัย 12 วิ่งเข้ามาในบ้าน ใบหน้าเด็กหญิงแสดงความตื่นเต้นถึงที่สุด เสียงหอบหายใจน้อยๆ และใบหน้าที่แดงก่ำ ฝ้าไอน้ำที่เริ่มจับเล็นส์แว่นตาที่อยู่ในกรอบกลมสีแดง บอกให้รู้ว่าเด็กหญิงวิ่งมาสุดแรงเพื่อที่จะมาพบลูกชายคนเดียวของพ่อเลี้ยง ใหญ่ในภาคเหนือ
"อ้าว หนูริน มีอะไรรีบด่วนหรือจ๊ะ..ตาเออยู่ในห้องนั่งเล่นน่ะ เข้าไปหาสิ.."
เสียง สตรีวัยใกล้ 30 แต่ยังดูราวกับหญิงสาวอยาวุ 20 ยืนอยู่ข้างพ่อเลี้ยงไกรสร คชสีห์ ทักทายเด็กหญิงอย่างกันเองแกมเอ็นดู ที่เห็นเพื่อนเล่นของบุตรชายกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้าน เด็กหญิง รินลดา เป็นลูกสาวคนสุดท้องของพ่อเลี้ยงจักรแก้ว คหบดีใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวคชสีห์มาตั้งแต่ไกรสรย้ายมารับจังหวัด เชียงใหม่เมื่อ 15 ปีก่อน ทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกัน และเด็กหญิงรินลดา ก็เป็นเพื่อนคนแรกของไกรวิทย์ ลูกชายคนเดียวของตระกูลคชสีห์มาตั้งแต่เกิด
น้องรินวิ่งมาหยุดกึก ตรงหน้าบิดามารดาของพี่เอ ที่เด็กหญิงผูกพันมาตั้งแต่จำความได้ จนแทบจะมีเรียกได้ว่าบุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือบิดามารดาของตนเอง เช่นกัน เด็กหญิงกลืนน้ำลายสูดหายใจลึกๆ ก่อนส่งเสียงอย่างตื่นเต้น
"ลุงสร กับป้า อร รู้หรือยังฮะ ว่าพี่เอ สอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมแล้ว"
ป้า อรของเด็กหญิงรินลดา หันไปสบตาบุรุษที่อยู่ด้านข้างแว่บหนึ่ง เพื่อพบว่าสามีกำลังหลิ่วตาเป็นนัยอย่างล้อๆ อรอุมากระพริบตาตอบอย่างรู้ทัน แล้วหันมาทำเสียงอุทาน...
"จริงหรือนี่ หนูริน ป้าดีใจจริงๆ หนูรินรีบไปบอกตาเอ เร็วๆ เลยนะ...."
เด็ก หญิงยืดอกด้วยความภูมิใจที่ได้รับทราบข่าวดีก่อนคนอื่น ก่อนหันหลังวิ่งเข้าไปในตัวอาคารอย่างรวดเร็ว พร้อมส่งเสียงเรียกพี่เอ ดังลั่นไปตลอดทาง อรอุมาหันมาหาบุรุษที่อยู่เคียงข้าง วงแขนแข็งแรงกระชับร่างของสตรีที่ยังคงความงามในวัยสาวไว้อย่างสมบูรณ์แม้จะ มีบุตรชายอายุ 15 ปีที่กำลังจะเตรียมเดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
"ท่านพี่นี่ชอบแกล้งหนูรินเรื่อยเลย.."
อรอุมาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ร่างงามซุกเข้ารับความอบอุ่นในวงแขนสามีที่กอดกระชับไว้แน่น
"หนูรินนี่โตขึ้นมากแล้วนะ เสียแต่ดูจะเป็นทอมบอยมากกว่าเด็กผู้หญิง.."
ผู้เป็นสามีเปรยขึ้นเบาๆ พร้อมกับก้มลงไปดมกลิ่นหอมของเรือนผมภรรยา อรอุมาเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงตอบสามีเบาๆ
"หนูรินอายุ 12 แล้วนี่คะ จำไม่ได้หรือ เราเพิ่งไปงานวันเกิดเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง"
"สิบสองแล้วหรือ"
เสียง พ่อเลี้ยงไกรสร ดังขึ้นเบาๆ เหมือนจะพูดกับตนเอง แต่ทำให้ใบหน้าของอรอุมาแดงจัด ใบหน้างามซุกเข้ากับอกสามีแน่นสนิท ส่งเสียงอู้อี้
"คิดถึงวันเกิดอายุ 12 ของอรจัง..กลัวท่านพ่อจะรู้แทบตาย"
"ก็ใครให้อรกินไวน์เมามานอนในห้องพี่ล่ะ..."
พ่อ เลี้ยงไกรสร ตอบอย่างล้อๆ สองแขนโอบกระชับร่างภรรยาสุดที่รักแน่นขึ้น วงแขนแข็งแรงอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นมา พาเดินเข้าไปที่บันไดซึ่งทอดตรงขึ้นสู่ชั้นสองของบ้าน ก่อนก้มลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างใบหูภรรยา
"ขึ้นไประลึกความหลังกันเถอะนะ.."
อรอุมาหน้าแดงจัด เมื่อรู้ว่าสามีสุดที่รักคิดจะทำอะไร สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอสามี ส่งเสียงแผ่วเบา
"พี่ชายกับน้องสาว...อรไม่น่ามาหลงรักพี่ชายตัวเองเลย.."
"รักหรือไม่รัก ก็ทำให้เราต้องอพยพออกมาจากกำแพงพระนคร มาอยู่ที่นี่ จนมีตาเอ แล้วล่ะ"
พ่อ เลี้ยงไกรสร ตอบภรรยาแสนรักอย่าล้อๆ ในอ้อมแขนคืออดีตเด็กหญิงวัย 12 ผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา ในตระกูลคชสีห์วัยใกล้ 40 คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองกับอรอุมาผู้เป็นน้องสาว เปิดเผยความในใจที่มีระหว่างกันในคืนวันเกิดของอรอุมา เมื่อ 15 ปีก่อน จนทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดขึ้นเป็นครั้งแรก ผลของมันทำให้อรอุมาเกิดตั้งครรภ์ และทำให้ทั้งสองต้องนำทรัพย์สมบัติของตระกูลส่วนหนึ่งหลบหนีเข้ามายังประเทศ ไทย เพื่อหลบหนีข้อครหาและโทษทัณฑ์ของตระกูล และด้วยทรัพย์สมบัติที่ติดมา ทำให้ทั้งสองสามารถสวมบัตรประชาชนไทย เข้ามาพำนักที่จังหวัดเชียงใหม่ในฐานะพลเมืองไทยอย่างสมบูรณ์ จนอรอุมาคลอดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของทั้งคู่ 15 ปีที่เป็นสมาชิกของสังคมระดับสูงในเชียงใหม่ ทำให้ทั้งสองได้รับความนับถือในสังคมทั้งในวงการการค้าภาคเหนือและข้าราชการ ระดับสูงของจังหวัด
อรอุมา หลับตาพริ้มส่งเสียงเบาๆ ในใจคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่ร่างบอบบางของเด็กหญิงแรกแย้ม ยอมรับการรุกรานของแก่นกายผู้เป็นพี่ชายด้วยความเต็มใจ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นยามสูญเสียพรหมจรรย์ ถูกทดแทนด้วยความสุขสุดยอดอย่างรวดเร็ว หัวใจของเด็กหญิงวัย 12 เชื่อมั่นในความรักที่ตนเองมีต่อพี่ชาย และไม่ลังเลที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับผู้ที่รัก ในใจหญิงสาวประหวัดไปถึงบุตรชายที่กำลังอยู่กับน้องริน ในห้องรับแขก อรอุมากระซิบถามสามีเบาๆ
"ท่านพี่คิดว่าตาเอ สนใจน้องรินบ้างไหม"
ไกรสร วางร่างของภรรยาลงบนฟูกหนานุ่ม สองมือสอดเข้าใต้เสื้อลำลองลายดอกที่อรอุมาใส่อยู่กับบ้าน ไปยังทรวงอกอิ่มเต็มที่ยังคงความครัดเคร่งไว้อย่างเต็มที่ ฝ่ามือนุ่มนวลของไกรสรคลึงปลายยอดทรวงอกจนรู้สึกถึงความชูชันแข็งตัวที่เป็น เม็ดสู้มือ...
"น้องรินดูจะเป็นทอมบอยมากกว่าผู้หญิงนะ"
ไกรสร ตอบคำถามภรรยาเบาๆ มืออีกข้างเลือนไล้ผ่านขอบยางยืดของกางเกงตัวหลวม ประกบเนินเน้ออวบอิ่มของน้องสาวต่างมารดาไว้เต็มฝ่ามือ ไรขนอ่อนนุ่มเริ่มชิ้นแฉะจากกอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า ...อรอุมาส่งเสียงหอบแต่ยังคงพยายามแสดงความเห็นตอบสามีเบาๆ
"ท่าน พี่ไม่เห็นหรือว่าน้องรินน่ะสวยมากนะ ..ถ้าไม่ใส่แว่นอันนั้น แล้ววันนี้ที่น้องรินวิ่งมาน่ะ อรสังเกตเห็นนะว่าน้องรินมีหน้าอกแล้ว ขนาดก็ไม่แพ้อรตอนอายุ 12 เลย"
ไกรสร ก้มหน้าลงซุกระหว่างหน้าอกตระหง่านคู่งามที่ขาวผ่องราวงาช้างของภรรยา ใจของพ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่คิดถึงหน้าอกเต่งตึงขนาดเท่าผลส้มของน้องสาวที่ตน เองเป็นชายคนแรกที่สัมผัสเคล้นคลึง หน้าอกคู่งามที่กำลังแนบกับใบหน้าขณะนี้ยังคงความเต่งตึงเอาไว้เช่นเดิม แม้เจ้าของจะมีอายุย่างเข้าปีที่ 27 แล้วก็ตาม
"ปัญหาอยู่ที่เจ้าเอ มันจะชอบน้องอรแบบไหน เท่าที่ดูมันไม่ค่อยสนใจผู้หญิงที่ไหนเลย เอาแต่เรียนอย่างเดียว นี่ถ้าพี่ไม่ส่งไปเรียนมวยคชสีห์กับท่านครูคำแปงละก็ สุขภาพเจ้าเอคงแย่แน่ๆ"
แม้คำพูดจะดูเหมือนบ่นถึงลูกชาย แต่ความเคลื่อนไหวของไกรสรที่กระตุ้นอารมณ์น้องสาวผู้กลายมาเป็นภรรยายังคง ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ร่างเปล่าเปลือยงดงามสองร่างบิดส่ายไปมาด้วยอารมณ์ความต้องการไกรสรยกร่าง ขึ้นทาบทับร่างงามของภรรยา สองขาเรียวงามของอรอุมาแยกออกอย่างเต็มใจ เมื่อรับรู้ว่าแก่นกายแข็งแรงขนาดกว่า 7 นิ้วกำลังพยายามหาทางแหวกเข้าสู่บ้านที่แสนอบอุ่นรัดรึงเบื้องล่าง
"อ๊าวส์..ท่านพี่..."
อร อุมาครางออกมาเบาๆ เมื่อเนินนูนอวบอิ่มถูกชำแรกเข้ามาอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นรวดเดียวมาถึง ปลายทาง ความคับแน่นภายในบ้านน้อยเริ่มตอบโต้การรุกรานด้วยน้ำหล่อลื่นหอมจรุงเป็น สาย แต่ดูเหมือนว่าผู้รุกรานยังคงไม่พอใจ และพยายามเรียกร้องให้เจ้าของบ้านต้อนรับเพิ่มขึ้น ด้วยการเร่งการโจมตีขึ้นลงต่อเนื่อง และเพิ่มระดับความเร็วจนเข้าของบ้านต้องยอมแพ้ ร่องหลืบภายในทุกส่วนบีบรัดการรุกรานอย่างเต็มที่ แม้จะมีน้ำหล่อลื่นชุ่มโชก แต่ความอวบนูนของบ้านหลังน้อยทำให้มันยังคงกระชับจนผู้รุกรานต้องสูดปาก เพิ่มแรงมากขึ้นกว่าจะบุกเข้าไปที่หมายได้...
"อร..พี่..พี่ จะ..."
เสียงไกรสร สั่นเครือ สองขาเรียวของอรอุมายกขึ้นโอบรอบเอวพี่ชายไว้แน่น แอ่นเนินนูนขึ้นรับการกระแทกอย่างไม่กลัวเกรง
"ท่านพี่...มา..มา เลย...อร ก็จะ...อ๊ายส์..."
ร่าง กำยำของไกรสรฟุบร่างทิ้งตัวลงกับร่างที่สั่นระริกของภรรยาเบื้อง ล่าง..น้ำรักจำนวนมากถูกฉีดเข้าสู่ร่างอรอุมาเป็นระลอก เสียงหอบของทั้งสองดังประสานกัน ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงจนเป็นปกติ..
"อรเยี่ยมเสมอเลยนะ...ทั้งตอดทั้งรัด.."
ไกรสรกระซิบข้างหูภรรยา..อรอุมาหน้าแดง ทุบไหล่สามีสุดที่รักเบาๆ
"ท่านพี่บ้า...ใครจะคุมได้ล่ะ มันตอดของมันเอง..."
อร อุมา ขยับร่างออกจากการกดทับของสามี แล้วลุกขึ้นนั่งคว้ากางเกงมาสวม เปิดโอกาสให้ไกรสรได้ชื่นชมทรวงอกคู่งามเต่งตึงที่ยังไม่ท่าทีว่าจะหย่อน คล้อยแม้แต่น้อย..อรอุมาหันมาเห็นสายตาสามีจับจ้องอยู่ ก็คว้าหมอนขึ้นมาโยนใส แล้วดุอย่างไม่จริงจังนัก..
"มองเหมือนไม่เคยเห็น...ท่านพี่รีบแต่งตัวเข้า ลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครอยู่เดี๋ยวตาเอไปปล้ำหนูรินเข้าจะยุ่งนะ"
ไกรสรหัวเราะ อย่างอารมณ์ดี.
"ถ้ามันปล้ำหนูรินละก็..พี่จะไปเสียค่าผิดผีกับพ่อเลี้ยงจักรแก้วเอง..ขอให้มันกล้าเถอะ"
ศิลาปฎิสาร The paradox 1.2... ชะตากรรม

พุทธศักราช 2520

ร่างบอบ บางของเด็กหญิงผมสั้นในชุดเสื้อยืดหลวมโคร่ง กางเกงขาสั้นเล่นกีฬาสีขาวที่เผยให้เห็นลำขาเรียวยาว แต่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา กระโดดเข้าใส่เด็กหนุ่มวัย 15 ปีที่กำลังนั่งชมภาพยนตร์อยู่ที่โซฟาหนานุ่ม จนร่างเด็กหนุ่มหงายลงไปกับเบาะโดยมีร่างของเด็กหญิงทาบทับอยู่ด้านบน ปากเรียวบางส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น...

" พี่เอ..พี่เอ...ครูใหญ่บอกว่าพี่เอติดเตรียมอุดมแล้วนะ เป็นคนเดียวในโรงเรียนเลย รินรีบมาบอกพี่เอเป็นคนแรกเลยนะ"

เด็ก หนุ่มยันร่างขึ้นจากการทาบทับของเด็กหญิงเพื่อนเล่นวัยเด็ก ยกร่างรินลดาขึ้นอย่างง่ายดายแล้วปล่อยให้นั่งข้างๆ สองมือเด็กหนุ่มขยี้ผมสั้นซอยที่ทำให้เด็กหญิงดูราวกับเด็กผู้ชายอย่าง เอ็นดู

" พี่รู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผู้อำนวยการเตรียมอุดมโทรมาบอกคุณพ่อพี่เองแหละ"

ริน ลดาหน้าม่อยลง ด้วยความผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เป็นคนแรกที่ทำให้พี่ชายที่สนิทที่สุดรู้ ข่าวเป็นคนแรก ปากน้อยๆ ส่งเสียงบ่นอย่างแง่งอน..

"ว้า คุณลุงคุณป้าหลอกรินนี่นา.. เมื่อกี้คุณป้าทำยังกับว่าเพิ่งรู้แล้วเร่งให้รินมาบอกพี่เอก"

"เอ้า..งั้นถือว่าพี่ยังไม่รู้ก็ดี...โอ๊ย ดีใจจังเลย.."

เด็ก หนุ่ม หรือนายไกรวิทย์ คชสีห์ แกล้งล้อรินลดาด้วยความเอ็นดู ทำให้เด็กหญิงระดมกำปั้นน้อยๆ ทุบใส่อกแข็งแรงที่แผ่กว้างตรงหน้าถี่ยิบ..

" บ้า บ้า บ้า ..พี่เอกนี่ ล้อรินเรื่อยเลย เดี๋ยวรินไปหาน้องกิฟท์ให้มาช่วยรุมพี่เอกดีกว่า"

ไกรวิทย์ยิ้มให้เด็กหญิงเบื้องหน้าอย่างล้อๆ

"พนันกับพี่ไหมล่ะ...อีกไม่เกิน 10 นาที ยายกิฟท์ ต้องวิ่งแจ้นเข้ามาเหมือนกันแหละ.."

ไม่ทันขาดคำ เสียงใสแจ๋วของเด็กหญิงอีกคนหนึ่งก็ดังลั่นจากจากหน้าบ้าน...

" พี่เอ....พี่เอ..."

เสียง ค่อยๆ เพิ่มความดังขึ้น จนกระทั่งร่างเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับรินลดาปรากฏขึ้นที่หน้าประตู เจ้าของเสียง หอบแฮ่กๆ แต่ทำหน้าสงสัยที่เห็นไกรวิทย์นั่งคู่กับรินลดาบนโซฟา พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มขณะที่รินลดามีสีหน้ากลั้นหัวเราะไว้อย่าง ยากเย็น...

"อ้าว...กิฟท์ วิ่งมาทำไม มีอะไรด่วนเหรอ.."

ไกร วิทย์ถามด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นสงสัยเต็มที่ น้องกิฟท์ เด็กหญิงผู้มาใหม่ มองไกรวิทย์และรินลดาอย่างไม่แน่ใน ก่อนส่งเสียงอย่างไม่แน่ใจ..

" กิฟท์จะมาบอกพี่เอว่า พี่เอสอบเข้าเตรียมอุดมได้แล้วน่ะ"

มือน้อยๆ ของรินลดาที่ซ่อนอยู่หลังโซฟา บีบมือไกรวิทย์เป็นสัญญานบอกใบ้ ก่อนร้องอุทานออกมา

"โอ๊ย..จริงหรือนี่ รินดีใจจริงๆ พี่เอ ดีใจไหม "

ไกรวิทย์แกล้งทำหน้าตื่นตามสัญญานบอกใบ้ที่ได้รับ ส่งเสียงอุทานลั่น

" จริงหรือนี่ กิฟท์ไม่ได้หลอกพี่นะ.. "

เด็ก หญิงผู้มาใหม่ ยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังไม่รับรู้ "ข่าวสำคัญ" ที่ตนเองรีบมาบอก ร่างเพรียวบางถลาเข้ามาไกรวิทย์กับรินลดาที่โซฟาทันที แล้วมาแทรกอยู่ระหว่างกลาง โดยทั้งสองช่วยเขยิบเพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้มาใหม่แทรกตัวเข้ามา

ไกร วิทย์ลูบผมเด็กหญิงอย่างเอ็นดู น้องกิฟท์ หรือเด็กหญิงอัจฉริยา ทรัพย์ทวี เป็นลูกสาวคนสุดท้องของพ.ต.อ.สมภพ ทรัพย์ทวี ผู้กำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเดียวกันกับเด็กหนุ่มและรินลดา แม้จะเกิดปีเดียวกันกับน้องริน แต่ด้วยความที่อ่อนเดือนกว่าถึง 8 เดือน ทำให้น้องรินวางตัวเป็นพี่สาวของน้องกิฟท์มาตั้งแต่เด็ก โดยที่ผู้อ่อนเดือนกว่าก็ยอมรับสถานะอย่างไม่โต้แย้ง เนื่องจากพี่ชายและพี่สาวของน้องกิฟท์ ล้วนแก่กว่าเกือบ 10 ปี ความเป็นลูกหลงท้องที่อายุต่างกับพี่ๆ ทำให้เด็กหญิงมาสนิทสนมกับไกรวิทย์และรินลดา โดยให้ไกรวิทย์ทำหน้าที่พี่ใหญ่ ทั้งสามเติบโตมาด้วยกันในหมู่บ้านที่สงบเงียบแห่งนี้ เป็นเพื่อนเล่น เป็นพี่น้องที่สนิทกันราวกับพี่น้องแท้ๆ

อัจฉริยาหันไปคุยกับน้อง รินอย่างสนุกสนาน ปล่อยให้ไกรวิทย์มีโอกาสหยุดพักการพูดคุย และพิจารณาร่างน้องสาวทั้งสองอย่างละเอียด เวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ ทำให้เด็กหนุ่มแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนเล่นวัยเด็กทั้งสองกำลังเติบโต ย่างเข้าสู่วัยสาว และมีท่าทีว่าจะเป็นหญิงสาวที่น่ารักที่สุดทั้งคู่ในเวลาไม่นานนัก แม้ไกรวิทย์จะมีโอกาสเรียนรู้เรื่องเพศจากความคะนองวัยหนุ่มตั้งแต่อายุ 13 ผ่านโสเภณีย่านตรอกต้นโพธิ์ และกำแพงดินมาแล้วหลายครั้งก็ตาม สัญชาตญานทางเพศของวัยหนุ่มไม่เคยเกิดขึ้นกับเด็กหญิงทั้งสองเบื้องหน้า เนื่องจากความสนิทสนมที่ไม่แตกต่างกับพี่น้องแท้ๆ แต่การกระโดดเข้าใส่ร่างของน้องรินเมื่อครู่ที่ผ่านมา ทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ถึงหน้าอกครัดเคร่งเต่งตึงของน้องรินที่เบียดแน่นอยู่ กับร่าง สัมผัสนั้นบอกให้รู้ว่าเด็กหญิงกำลังจะพ้นจากความเป็นเพื่อนเล่นที่ไม่แบ่ง แยกเพศในอีกไม่นาน ใบหน้ายิ้มแย้มของน้องริน ที่ประดับแว่นสายตาสีแดงสด บนใบหน้ากลมมนที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นวงรีอย่างช้าๆ รอยยิ้มเบิกบานที่ประดับมุมปากด้วยเขี้ยวเล็กสองซี่ ทำให้ภาพของเด็กหญิงช่างพูดที่รู้จักกันมาตลอด 12 ปีค่อยๆ เลือนรางลง โดยมีใบหน้าเด็กหญิงที่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยสาวมาแทนที่ ดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่หลังแว่นเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อพูดคุยกับน้อง กิฟท์อย่างสนุกสนาน สายตาของเด็กหนุ่มเลื่อนลงมาที่เรียวขาเพรียวที่ยังดูเก้งก้างราวกับเด็กชาย แต่สายตาของเด็กหนุ่มบอกตัวเองว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากภาพที่เคยเห็น เรียวขานั้นดูนุ่มนวลขึ้น และเริ่มมีเนื้อหนังเปล่งปลั่งกระจายไปทั่วโดยเฉพาะบริเวณต้นขาที่ปรากฏพ้น ขอบกางเกงขาสั้นที่สั้นขึ้นจากท่านั่งพับเพียบบนโซฟา จนขอบกางเกงในสีขาวสะอาดเผยตัวให้เห็นเล็กน้อย

เด็กหนุ่มถอนหายใจ เบาๆ เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอวัยวะสำคัญที่กำลังถูกกระตุ้นจากจินตนา ภาพที่งดงามของรินลดาเบื้องหน้า สายตาไกรวิทย์หันไปจับจ้องอัจฉริยา ที่นั่งประชิดตัวอยู่ การที่อัจฉริยา หันหน้าไปคุยกับรินลดา ทำให้แผ่นหลังของเด็กหญิงแนบแน่นอยู่กับต้นแขน ขณะที่สะโพกเคร่งครัดกดทับอยู่กับหลังมือของเด็กหนุ่มที่วางอยู่บนโซฟา เวลาที่ผ่านไปมิใช่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้รินลดาเพียงคนเดียวเท่านั้น อัจฉริยา ที่อ่อนวัยกว่าเกือบปี ก็กำลังสะสมเนื้อหนังเพื่อเปลี่ยนสภาพจากเด็กสาวหมวยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนตัว น้อย ไปสู่สาวแรกรุ่นเช่นกัน ดวงตาเรียวยาวที่ชี้ขึ้นเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าของเด็กหญิงดูโฉบเฉี่ยว สองแก้มที่เคยยุ้ยเป็นพวงกลมเริ่มยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวที่ขาวอย่างคนจีนเริ่มแฝงสีชมพูจางๆ ใต้ผิวหนังเปล่งปลั่ง กลิ่นกายของเด็กหญิงระเหยออกจากร่างกระทบจมูกของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน มันเป็นกลิ่นที่สดชื่นราวกับดอกมะลิยามเช้าที่ยังผลิบานไม่เต็มที่ นี่เองคงเป็นกลิ่นที่คนโบราณเรียกว่ากลิ่นหอมยามแตกเนื้อสาว ที่แม้จะสดชื่นมากกว่ากระตุ้นอารมณ์ แต่ก็กระตุ้นให้ผู้ที่มีโอกาสสัมผัสกลิ่น จินตนาการไปถึงกลิ่นสาบสาวยามดอกไม้แรกแย้มดอกนี้เบ่งบานเต็มที่ในอนาคต พลันขณะที่อัจฉริยา ยกมือขึ้นชี้ไปยังภายนอกประกอบการพูดคุย สายตาของไกรวิทย์กระทบเข้ากับภาพใต้วงแขนภายใต้เสื้อยืดแขนกุดตัวหลวมที่สวม ใส่ประจำ แขนเสื้อที่เปิดช่องว่างกว้างพอให้สายตาเด็กหนุ่มผ่านไปกระทบกับหน้าอกขนาด เล็กที่ปราศจากบราปิดกั้น เผยให้เห็นหน้าอกที่เคยแบนราบกำลังเริ่มสะสมชั้นไขมันจนก่อตัวเป็นรูปร่าง หัวนมเม็ดเล็กสีชมพูจัดขนาดเท่าเมล็ดลูกเกด ฝังตัวสงบนิ่งอยู่บนปานยอดสีเดียวกันแต่อ่อนจางกว่า แม้จะเป็นภาพที่เห็นเพียงด้านข้างแต่ก็เป็นครั้งแรกที่ไกรวิทย์มีโอกาสเห็น ผิวกายและอวัยวะพึงสงวนของเด็กหญิงเพื่อนเล่นคนนี้ แก่นกายที่เริ่มตื่นตัวจากเรียวขางามของรินลดา เมื่อผสมเข้ากับหน้าอกเต่งที่เริ่มก่อตัวของอัจฉริยา ทำให้มันเริ่มทวีขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะโผล่พ้นขอบกางเกงบอกเซอร์ที่ เด็กหนุ่มสวมอยู่กับบ้าน ทำให้ต้องหันไปคว้าหมอนอิงข้างกายไปกดทับเพื่อป้องกันสายตาของเด็กหญิงทั้ง สอง ในใจของไกรวิทย์เริ่มสับสนเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่าร่างทั้งสองที่อยู่ ข้างๆ นั้น กำลังกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของวัยหนุ่มอย่างรุนแรง แต่จิตใจอีกส่วนหนึ่งก็กำลังเรียกร้องให้ระงับความรู้สึกที่เกิดขึ้นไว้และ ให้กลับมายึดถือเด็กหญิงสองเป็น "น้องสาว" ดังที่เคยเป็นมา

"ตกลงไหมพี่เอ... "

เสียง ใสๆ ของอัจฉริยาดังขึ้น ใบหน้าหวานใสหันมาจ้องตาไกรวิทย์ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัวจากจินตนาการแล้วหันมาให้ความสนใจเด็กหญิงเบื้อง หน้า แม้สมองจะไม่รู้ว่เด็กหญิงอัจฉริยา ซึ่งฉลาดอย่างหเลือเชื่อสมชื่อคนนี้กำลังพูดอะไร แต่ก็พยายามสนองตอบเท่าที่ทำได้

" ไม่มีปัญหา โอเคเลย."

อัจ ฉริยา มองหน้าพี่ชายผู้ใกล้ชิดนิดหนึ่ง สมองอันชาญฉลาดของเด็กหญิงที่สอบไล่เป็นที่หนึ่งของระดับชั้นด้วยคะแนนเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ทุกวิชาจนสามารถพาสชั้นขึ้นมาเรียนห้องเดียวกันกับรินลดา ก็ทราบว่าพี่ชายของเธอไม่ได้รับรู้เรื่องที่กำลังคุยอยู่แม้แต่น้อย

" พี่เอเนี่ย ไม่ได้ฟังเลย ยังมารับปากอีก รู้งี้กิฟท์กับพี่รินบังคับพี่เอไปเลี้ยงใหญ่ดีกว่า"

ไกรวิทย์หัวเราะเก้อๆ พยายามแก้ตัว

"เลี้ยงก็ได้นะ แต่คงต้องเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ เพราะมะรืนนี้พี่ต้องเดินทางลงไปเตรียมมอบตัวที่กรุงเทพฯ คุณพ่อท่านจองรถไฟไว้แล้ว"

เด็ก หญิงทั้งสองนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อได้รับรู้ว่าพี่ชายที่สนิทที่สุดกำลังต้องเดินทางไกลไปจากบ้านเกิด รินลดาส่งเสียงถามอย่างไม่แน่ใจ

" แล้วพี่เอจะกลับมาหลังจากมอบตัวเสร็จหรือเปล่า"

ไกรวิทย์ส่ายหน้า..

" คงไม่กลับแล้วล่ะ คุณพ่อให้เตรียมของทั้งหมดไปด้วยเลย กว่าจะกลับก็คงปิดเทอมตุลาหน้า"

ความ เงียบปกคลุมห้องนั่งเล่นในบ้านหลังใหญ่ รินลดาและอัจฉริยา หันไปสบตากัน ขณะที่ไกรวิทย์ก็เพิ่งรู้สึกตัวงและรับรู้เป็นครั้งแรกว่าการเดินทางไปเรียน ต่อ ม.ศ.4 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามที่ไม่เคยแยกจาก กันตลอด 12 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง นานราวกับผ่านไปทั้งวัน เสียงรินลดาก็ดังขึ้นเบาๆ ด้วยคำพูดที่เหมือนกับจะแทงใจของทั้งสามคน

" หมายความว่าต่อไปนี้จะไม่ได้มาเล่นกับพี่เอ ไม่ใด้ให้พี่เอสอนการบ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกแล้ว"

อัจ ฉริยา มีสีหน้าสลดลง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนจากอารมณ์สนุกสานมาเป็นใบหน้าที่กำลังจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มกลบลูกกตาทั้งสองข้าม และก่อนที่ใครจะรู้ตัว เด็กหญิงก็โผเข้ากอดชายหนุ่มไว้แน่น ปล่อยเสียงโฮ ออกมา

"ไม่เอา...กิฟท์ไม่ให้พี่เอไป..พี่เออย่าไปนะ เรียนที่เชียงใหม่ก็ได้..."

ริน ลดาที่ดูจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเล็กน้อย เข้ามากอดอัจฉริยาทางด้านหลัง แม้จะไม่ได้เปล่งคำพูดใดออกมา แต่น้ำตาซึ่งกลบลูกตากลมโตที่จับจ้องพี่ชายของเด็กหญิงแน่วนิ่งเช่นกัน บอกให้รู้ว่ารินลดาเองก็เสียใจไม่แพ้น้องกิฟท์แม้แต่น้อย

ไกรวิทย์ โอบเด็กหญิงทั้งสองไว้ในอ้อมแขน แม้จะไม่ร้องไห้ออกมาเด็กหนุ่มก็รับรู้ถึงสภาพที่ตนเองจะต้องไปศึกษาต่อโดย ไม่มีน้องสาวแสนรักทั้งสองที่คอยให้ความแจ่มใสเช่นที่ผ่านมา แต่ก็รู้ดีว่าทุกสิ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ครู่ใหญ่แขนแข็งแรงของไกรวิทย์ก็ดันร่างอัจฉริยาที่ยังสะอื้นอยู่ให้ออกจาก ตัวพร้อมกับรินลดา เขย่าร่างเบาๆ ให้ทั้งคู่รู้ตัวหันมาสบตาแล้วพุดอย่างจริงจัง

" น้องริน น้องกิฟท์ ฟังพี่นะ. พี่สัญญาว่าจะกลับมาตอนปิดเทอมให้เร็วที่สุด ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม พี่ขอให้น้องรินกับน้องกิฟท์ตั้งใจเรียนให้มาก แล้วอีก 3 ปี น้องทั้งสองจะได้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ด้วยกันกับพี่ พวกเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีก เหมือนเดิม เข้าใจไหม...เอาล่ะ หยุดร้องไห้แล้วยิ้มให้พี่เดี๋ยวนี้ "

เด็กหญิงทั้งสอง นิ่งฟังคำพูดของไกรวิทย์อย่างตั้งใจ และพยักหน้ารับคำขอของพี่ชายที่รัก...รินลดาพยายามสะกดเสียงสะอื้นแล้วส่ง เสียงอย่างไม่แน่ใจ

" ถ้าเป็นน้องกิฟท์ คงไม่มีปัญหาแน่ เพราะน้องกิฟท์ เรียนเก่งขนาดนี้ แต่รินสอบได้แค่ 75 เปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็ไม่เกิน 80 รินคงไม่มีทางไปเรียนเตรียมอุดมที่กรุงเทพแน่.."

แทนที่ไกรวิทย์จะปลอบโยนรินลดา เสียงของอัจฉริยา กลับดังขึ้นอย่างมั่นใจ

" พี่รินไม่ใช่เรียนไม่เก่ง แต่พี่รินมัวแต่ห่วงเพื่อนๆ คอยช่วยเหลือคนโน้นคนนี้จนไม่มีเวลาดูหนังสือต่างหาก ต่อไปนี้กิฟท์ จะติวเข้มให้พี่ริน เพื่อให้พี่รินสอบเข้าเตรียมอุดมได้ แล้วพวกเราจะได้ให้พี่เอกพาเที่ยวกรุงเทพด้วยกัน นะ พี่รินนะ..."

ริน ลดาและไกรวิทย์จ้องมองน้องสาวคนเล็กอย่างแปลกใจ จากการที่อัจฉริยา กลับเป็นคนแรกที่ตัดสินใจเด็ดขาดและตั้งเป้าปฏิบัติตามคำขอของไกรวิทย์ใน ทันทีอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ พร้อมกับรออยยิ้มที่เริ่มปรากฏบนใบหน้ารินลดา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ ร่างทั้งสามกอดกันแน่นบนโซฟา ราวกับเป็นการปฏิญานคำสัญญาที่เกิดขึ้นในวันนี้

"อ้าว หนูกิฟท์ มาเมื่อไหร่เนี่ย... แล้วพวกเราหิวข้าวหรือยังเดี๋ยวป้าจะบอกยายแจ่มให้จัดโต๊ะให้นะ"

ร่าง โปร่งบางของอรอุมา ส่งเสียงทักทายเมื่อเดินลงมาจากชั้นสอง น้องกิฟท์รีบลุกขึ้นวิ่งไปกอดหญิงสาวอย่างสนิมสนม แล้วดึงมือมาร่วมกลุ่มที่โซฟา

" คุณพ่อไปไหนครับ"

ไกร วิทย์ถามอย่างไม่สนใจคำตอบเท่าใดนัก เด็กหนุ่มรู้ดีถึงภารกิจที่บิดามีในวงการธุรกิจ ที่ทำให้มีโอกาสคลุกคลีกับบุตรชายคนเดียวค่อนข้างน้อย แต่เด็กหนุ่มก็ทราบดีถึงความรักความห่วงใยที่ไกรสรมีต่อตนเองและไม่เคย ปฏิบัติตนมีปัญหาดังเช่นวัยรุ่นทั่วไป

pamaaeng

ขอติติงเรื่อง ชื่อเรื่อง ครับ
ถือว่า ให้เกียรติ์ผู้ประพันธ์

เข้าใจว่า ที่ท่านก๊อปมา เขาคงเปลี่ยนชื่อเรื่อง
เรื่องนี้ คุณ buta ไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องว่า ศิลาปฏิสาร
แต่ตั้งชื่อว่า The Paradox ซึ่งเป็นภาคเริ่มต้นของเรื่องราว

และตอนต่อจากนี้ ใช้ชื่อว่า The Zodiac (เขียนยังไม่จบ)

สำหรับ ภาคสุดท้าย ซึ่งยังไม่ได้เขียนออกมา
คุณ buta ได้ตั้งชื่อว่า The Armageddon


review1972

ขอบคุณท่าน buta ที่ฝากผลงานดีๆไว้ ขอบคุณท่าน kengmaxi ที่เอามาแบ่งปันครับ ไม่เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อนเลย ผลงานคุณภาพจริงๆครับ

drof666

ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆให้อ่านกัน ::Thankyou::

biggiggog

เรื่องมันสนุก อ่านซ้ำกี่ที
มันก็ยังสนุกอยู่ดี
ขอบคุณมากๆครับ
::Confident::

chriooth1996

เนื้อเรื่องดีมาก เล่าตอนปัจจุบันก่อน แล้วเล่าไปอดีต ทำให้เราอยากรู้เนื้อเรื่องมากเลย

peat

ที่ท่านbutaหยุดนำงานเขียนของท่านมาลงต่อ..
ก็เพราะว่ามัคนcopyงานของท่านออกมาเผยแพร่นี่แหละ..
ถ้าให้เกียรติผู้ประพันธืจริง..ขอเถอะครับ..อย่านำมาลงเลย..

tetete

ขอบคุณที่เอาผลงานดีๆกลับมาให้อ่านใหม่ครับ

signo123

หยุดโพสเรื่องนี้ต่อเถอะคัฟ ท่านbutaไม่อนุญาตให้เอามาลง เพราะมีคนก๊อปผลงานท่านมาล่ะคัฟ ท่านถึงไม่เขียนต่อ ให้เกียรติบทประพันธ์ของท่านด้วย ถ้าท่านbutaเขียนต่อ ท่านจะเอามาลงเอง

may_290607908


kabyala

ขอติติงเรื่อง ชื่อเรื่อง ครับ
ถือว่า ให้เกียรติ์ผู้ประพันธ์

เข้าใจว่า ที่ท่านก๊อปมา เขาคงเปลี่ยนชื่อเรื่อง
เรื่องนี้ คุณ buta ไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องว่า ศิลาปฏิสาร
แต่ตั้งชื่อว่า The Paradox ซึ่งเป็นภาคเริ่มต้นของเรื่องราว

และตอนต่อจากนี้ ใช้ชื่อว่า The Zodiac (เขียนยังไม่จบ)

สำหรับ ภาคสุดท้าย ซึ่งยังไม่ได้เขียนออกมา
คุณ buta ได้ตั้งชื่อว่า The Armageddon

ใช่ครับครับผมอีกคนหนึ่งที่ติดตามอ่านใน ธวัลยา เสียดายมากเลยครับที่ท่านนักแต่ไม่แต่ต่อหรือว่าแต่ต่อแต่เอาไปลงที่เวบอื่นผมคงบุญน้อยที่ตามไม่เจอ ขอบคุณครับ

sunshine9

#11
เป็นเรื่องที่ยาวมากๆ เสียดายที่ท่าน Buta แต่งไม่จบ ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ครับ

peddo

งานละเอียด ละเมียดมากครับ เริ่มมาก็บู๊เลย ไหว้ครูด้วยบทรักรุ่นใหญ่ ขอบคุณครับ

suriyamahajit


devilzoa

เนื้อสนุกมากๆครับ ไม่เคยอ่านนะครับเรื่องนี้ขอบคุณที่แบ่งปันครับ