ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ผีหลอกสายฟ้า ตอนที่ 4

เริ่มโดย twintower, ธันวาคม 20, 2019, 12:56:16 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

ผมตั้งใจที่จะบวชเป็นเวลา 15 วัน ก่อนจะไปทำงาน ตอนแรกทั้งพ่อกับแม่ผมอยากให้ผมได้พักนานกว่านี้ เพราะเห็นว่าพึ่งเรียนจบแต่ผมบอกไปว่าอยากทำงานให้เร็วที่สุดและการบวช 15 วันนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด วัดที่ผมบวชก็เป็นวัดในหมู่บ้านโดยหลวงตาพระที่เปลี่ยนชื่อใหม่ให้ผมตอนนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสแล้ว จากตอนแรกที่ผมตั้งใจจะบวชเงียบๆ แต่ด้วยความที่พ่อกับแม่นั้นมีคนนับหน้าถือตามาก รวมทั้งเคยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากมาตลอด ไม่รวมถึงบรรดาคนงานที่มาทำงานด้วย ทำให้เป็นงานบวชที่ใหญ่เกินคาด แถมเป็นงานที่รวมบรรดานักการเมืองท้องถิ่น นายอำเภอและรองผู้ว่ามาร่วมงานบวชด้วย ทำเอาหลวงท่านพูดขึ้นมาลอยๆว่า

"งานบวชวันนี้ทำให้วัดมีบุญเพิ่มขึ้นนะเพราะ มีคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่มาร่วมงานด้วย"

ท่านกล่าวออกแบบนี้ ทำเอาบางคนก็งงๆเหมือน เหมือนกับผมยิ่งตอนที่ผมครองผ้าไตรจีวรเรียบร้อยแล้วเดินมาด้านหน้า ภายโบสถ์นั้นมีทั้งพ่อแม่และบรรดาญาติมิตรนั่งกันอยู่พร้อมหน้า แต่เพียงชั่วขณะเดียวที่ผมเห็นชายกับหญิงที่ดูผิดแปลกกับคนทั่วไปนั่งพนมมือถัดจากพ่อกับแม่ผม มันเป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้นที่ผมเห็น พร้อมกับความรู้สึกปิติโสมนัสมาสู่ร่างกายของผม ตอนนั้นสัมผัสพิเศษของผมรับรู้ถึงพลังอำนาจที่มีบุญบารมีอยู่รอบกายแต่ มองไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ เป็นจังหวะที่ผมหันไปสบตากับหลวงตาพอดี ซึ่งท่านนั้นดูจะยิ้มๆมาที่ผมแต่ไม่พูดอะไรออกมา หลังจากพิธีบวชเสร็จเรียบร้อยวันรุ่งขึ้นผมออกบิณฑบาตพร้อมพระพี่เลี้ยง 1 รูป ซึ่งเส้นทางบิณฑบาตนั้นผ่านไปยังบ้านของผม พ่อกับแม่รวมถึงบรรดาคนงานนั้นรอใส่บาตรกันพร้อมหน้า ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ จนถึงหน้าวัด จู่ๆมีหญิงชายที่อยู่ในวัยชราพร้อมผู้ชายอีก 1คน โผล่จากไหนก็ไม่มีใครเห็น มาใส่บาตรผมกับพระพี่เลี้ยง ผมประหลาดใจอยู่พอสมควรโดยเฉพาะผู้ชายที่ดูจะเป็นลูกชายนั้นคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน แต่ทั้ง 3 คนนั้นดูจะดีใจมากที่ได้ใส่บาตรกับผม แต่พอเข้าวัดพระพี่เลี้ยงผมได้เปรยๆขึ้นว่าไม่คุ้นหน้ากับคน 3 คนนี้แต่ไม่พูดอะไรต่อ

จนวันที่ 3 ในการบวช พระพี่เลี้ยงผมติดกิจนิมนต์ไปที่อื่นเหลือแต่ผมเดินบิณฑบาตเพียงรูปเดียว  ส่วนลูกศิษย์นั้นไม่แน่นอนยิ่งวันนี้ลูกศิษย์นั้นมีไปแข่งกีฬาให้โรงเรียนต้องไปแต่เช้า จนผมไปถึงบ้านที่โยมพ่อกับโยมแม่นั้นยืนรออยู่แล้ว

"อ้าวท่านแล้ววันนี้หลวงพี่ไปไหนละ"

โยมพ่อกล่าวทัก

"ท่านติดกิจนิมนต์นะโยมพ่อส่วนเจ้าพัดก็มีไปแข่งกีฬาให้โรงเรียนต้องรีบไป"

โยมพ่อกับโยมแม่มองไปที่บาตรกับย่าม2ใบสะพายนั้นมีของบรรจุที่มีคนใส่บาตรจนล้น เลยทำท่าจะให้คนในบ้านไปช่วยเป็นลูกศิษย์ให้ ผมกล่าวห้ามว่าอย่าไปรบกวนเพราะทุกคนต่างมีภาระหน้าที่กันโยมพ่อเลยบอกให้ผมถ่ายของไว้ที่บ้านก่อนสักพักจะขับรถตามไปส่งให้ที่วัด หลังจากรับบาตรที่บ้านเรียบร้อย ระหว่างทางมีคนมาใส่บาตรตลอดทาง จนถึงช่วงทางเปลี่ยวที่เป็นทางที่จะเลี้ยวไปวัด ระหว่างที่เดินเลยผ่านต้นไม้ต้นใหญ่ที่อายุกว่า 100 ปี ผมได้ยินเสียงผู้หญิง

"นิมนต์เจ้าคะ"

ผมหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงเรียก เห็นผู้หญิงหน้าตาสวยงามใส่ชุดเสื้อแขนกระบอกนุ่งผ้าซิ่นนั่งพับเพียบพนมมืออยู่หน้าต้นไม้ ผมสำรวมจิตเพ่งมองไปที่ร่างนั้น ทำให้แน่ใจว่าเธอไม่ใช่คนแต่เป็นนางไม้ที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นี้ ผมเดินกลับไปที่เธอ นางไม้ลุกขึ้นยืนด้วยอาการสำรวมระหว่างที่เธอกำลังตักบาตร เธอนั้นพูดกับผม

"อิฉัน รอใส่บาตรกับพระคุณท่านมาหลายวันเจ้าคะแต่หาโอกาสไม่ได้เจ้าคะ"

ผมยิ้มๆไม่ตอบอะไรนอกจากให้ศีลให้พรเธอ ซึ่งตอนนั้นเธอลงไปนั่งพับเพียบรับศีล ผมเดินจากมาอย่างสงบโดยไม่หันไปมอง เป็นปรากฏที่แปลกใหม่สำหรับผมนอกเหนือจากการได้เห็นหรือพูดคุยบ้างเล็กน้อยกับพวกสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติที่ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาของผมไปแล้ว อยู่ต่างประเทศผมก็พบเห็นบ่อยแต่ทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะถึงวัดไม่เท่าไหร่ผมเดินผ่านต้นโพธิ์ต้นใหญ่และเจอสิ่งที่คล้ายๆกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาแต่ครั้งนี้เป็นผู้ชาย ที่ดูเป็นคนโบราณนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อราชปะแตนหน้าตาดูดุดันแต่กิริยานั้นสุภาพอ่อนน้อม

"นิมนต์พระคุณท่านขอรับ"

นั่นคือเสียงที่ผมได้ยิน แต่ผมไม่พูดอะไรรับบาตรด้วยอาการที่สงบเหมือนกับที่รับบาตรจากคนทั่วๆไปเพราะครั้งนี้ผมคิดว่าคงเป็นรุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในต้นโพธิ์ต้นนี้ ที่มีคนมากราบไหว้ตั้งแต่ผมเด็กๆพร้อมเสียงเล่าลือกันมาตลอดแต่ครั้งนี้ผมเจอท่านรุกขเทวดาตัวเป็นๆ เช่นเดียวกับนางไม้ รุกขเทวดานั่งคุกเข่ารับศีลรับพรจากผม ก่อนที่ผมจะเดินกลับวัด เหมือนกับทุกวันที่หน้าวัด คนแก่ชายหญิง 2คนมารอใส่บาตรผมแต่คราวนี้มีคนมาด้วยหลายคนนอกเหนือจากผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าแล้วยังมีผู้ชายในวัยหนุ่มอีกคนที่ดูจะวัยไม่ห่างจากคนแรกเท่าไหร่แต่ผมนั้นก็รู้สึกคุ้นหน้าเช่นกัน และหลังจากที่ครอบครัวนั้นใส่บาตรเสร็จมีผู้หญิงที่ดูดีมีราศีอย่างมากได้อุ้มเด็กทารกมาหาผมก่อนจะบอกว่า

"รบกวนพระคุณท่านช่วยให้พรลูกสาวของ ดิฉันหน่อยคะ"

ถึงจะดูแปลกๆผมก็ให้ศีลให้พรไปตามคำขอ ดูจะสร้างความดีใจให้กับหญิงสาวผู้นั้นกับผู้ชายที่ผมเห็นมาครั้งที่ 2 อย่างมาก ก่อนจะเดินเข้าไปในวัด ในช่วงที่ผมบวชนั้นพลังวิเศษของผมเห็นอะไรหลายอย่าง เห็นวิญญาณคนตายมานั่งพนมมือฟังสวดหน้าโรงศพของตัวเอง และระหว่างบิณฑบาตถ้าวันไหนผมมาคนเดียวไม่มีพระพี่เลี้ยงและลูกศิษย์มาด้วย ทั้งนางไม้และรุกขเทวดาต่างมาใส่บาตรด้วยตลอด จนถึงคืนสุดท้ายที่ก่อนที่ผมจะลาสิกขา ระหว่างนั่งสมาธิผมได้ยินเสียงเรียกที่หน้ากุฏิ ตอนแรกจับใจความไม่ได้เหมือนคลื่นวิทยุที่ขาดๆหายๆมากระทบในอนุสติ จนได้ยินชัดเจน

"ท่านผู้เจริญ ขอเชิญท่านมาพบพวกเราที่หน้ากุฏิด้วยเถิด"

เป็นน้ำเสียงที่วิงวอนขอร้อง ผมจึงออกจากสมาธิเดินมาเปิดประตูและก้าวออกไปยืนนอกชาน ภาพที่เห็นถ้าตอนแรกทำเอาแทบผงะ ก่อนจะปรับสติให้เป็นปกติเพราะภาพที่เห็นนั้นเป็นบรรดาวิญญาณที่อยู่ในสภาพไม่เจริญหูเจริญตา รวมถึงพวกเปรตที่ต่างนั่งพนมมือไหว้ เมื่อเห็นผมวิญญาณที่นั่งอยู่ตรงเชิงบันได ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของวิญญาณเหล่านี้ได้บอกกับผมว่า

"ท่านผู้เจริญท่านคือผู้มีบุญ พวกเราต่างมาขอส่วนบุญจากท่าน"

ผมสงบใจและไม่ถามอะไรเพราะรู้ดีว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบจากปัญหาที่คาใจผมมาตลอด ได้แต่ตอบผ่านจิตของตัวเองไป

"เอาละ เราขออุทิศส่วนกุศลจากการบวชครั้งนี้ให้กับพวกเจ้าทั้งหลาย"

สิ่งที่ผมได้เห็นได้ยินในอนุสติบรรดาวิญญาณเหล่าต่างยกมือท่วมหัวและส่งเสียงเหมือนขอบคุณผมก่อนที่จะสลายร่างหายไป และเช้าวันรุ่งขึ้นในการบิณฑบาตครั้งสุดท้าย ครั้งนี้ผมไปพร้อมกับพระพี่เลี้ยง จนมาถึงหน้าวัดที่ประจำที่ชายหญิงในวัยชรามาดักรอใส่บาตรผมทุกวัน ครั้งนี้มีบรรดาญาติมิตรและคนติดตามมากันเยอะมากให้ใช้เวลารับบาตรพอสมควร และสายตาของผมเห็น นางไม้กับรุกขเทวดานั้นมาใส่บาตรให้ผมด้วย ทั้งสองนั้นยืนอยู่ปลายแถวของกลุ่มคนเหล่านั้น ผมรับบาตรด้วยอาการสงบเหมือนเช่นเคย และพระพี่เลี้ยงกับลูกศิษย์ก็ไม่เห็นเหตุการณ์ตอนนี้เหมือนมีอะไรมาบังตา

ผมลาสึกขาในช่วงสายๆของวันนั้นและถือศีล8 อยู่วัดอีก 3 วัน  พร้อมทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดตลอดแต่สิ่งที่หน้าแปลกใจคือ ตากับยาย 2 คนนั้นไม่มาใส่บาตรอีกเลยและทั้งคนในวัดไม่พูดถึง เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งๆที่ตอนนั้นทั้งพระและลูกศิษย์ที่ได้ลิ้มรสอาหารที่สองคนตายายนั้นใส่บาตร ต่างอดพูดกันไม่ได้ว่าเป็นอาหารรสเลิศทั้งๆที่เป็นกับข้าวธรรมดาและข้าวนั้นมีกลิ่นหอมอย่างมาก แต่ทุกคนพากันลืม แต่ผมไม่ลืมและไม่ได้พูดอะไรต่อ จนวันสุดท้ายหลังจากที่ทำวัตรเช้าเสร็จเรียบร้อย ผมจะไปลาหลวงตาที่กุฏิแต่ก็ได้ความท่านยังอยู่ในโบสถ์ ผมเดินไปหาท่านที่โบสถ์และเห็นท่านนั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธาน ผมคุกเข่ากราบพระและนั่งรอท่านอยู่ครู่หนึ่ง หลวงตาออกจากสมาธิแล้วหันมาทางผม

"อ้าวจะไปแล้วหรือ"

"ครับหลวงตา พ่อมารับแล้วครับ"

ท่านให้ศีลให้พรผมพอสมควรผมคุกเข่าพนมมือรับพรจากท่านจนเรียบร้อย แล้วผมก็ตัดสินใจถามท่านทันที

"หลวงตาครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษาหลวงตานะครับ"

"เรื่องอะไรหรือ ถ้าเป็นเรื่องที่เคยคุยกันว่าเจ้ากับโยมพ่อจะช่วยบริจาคซ่อมแซมกุฏิให้พระในวัดนะหลวงตาไม่ขัดข้อง แต่ถ้าจะสร้างโบสถ์ให้ใหม่ละก็ขอไว้ละกัน เราเป็นวัดเล็กไม่ใช่วัดใหญ่ แค่นี้ก็พอแล้ว"

ท่านเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเพราะเรื่องนี้ผมกับพ่อได้คุยกับท่านในวันที่ผมลาสิกขาวันแรกท่านก็ยินดีเพราะกุฏิในวัดนั้นชำรุดทรุดโทรมไปมากแล้ว ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามไปยังท่าน

"คือหลวงตาครับ ในรอบสิบกว่าปีมานี่ตั้งแต่ผมถูกฟ้าผ่าและรอดตายมาได้หลวงตาคงจำได้"

เมื่อเห็นท่านพยักหน้า ผมเลยบอกต่อไป

"คือผมมีเรื่องจะปรึกษากับหลวงตาครับ แต่ผมกลัวว่าถ้าผมเล่าให้หลวงตาฟังแล้ว จะกลัวว่าหลวงตาจะหาว่าผมสติไม่ดี"

ท่านยิ้มให้ก่อนจะตอบผม

"เล่ามาเหอะหลวงตายินดีรับฟัง"

ผมตัดสินใจเล่าเรื่องให้หลวงตาฟังตั้งแต่ตอนที่ถูกฟ้าผ่าว่าพบเห็นอะไรบ้างและเหตุการณ์หลังจากนั้นทุกเรื่องที่ผมพบและเจอกับปรากฏการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติต่างๆ ยกเว้นเรื่องทางโลกีย์ของผม หลวงตาท่านนั่งฟังตลอดด้วยสีหน้าที่ราบเรียบจนผมเล่าให้ฟังจนจบท่านจึงบอกกับผมว่า

"เอาละเจ้าอัส ทีนี้ฟังเรื่องของหลวงตาบ้างนะ"

ท่านเล่าโดยไม่สนใจในท่าทีแปลกใจของผมและไม่ถามอะไรต่อ ท่านเล่าประวัติของท่านให้ฟังตั้งแต่บวชเณร และเป็นพระภิกษุ ในช่วงวัยหนุ่มที่ท่านออกธุดงค์กับพระอาจารย์ของท่านไปทั่ว รวมถึงเรื่องคาถาที่ท่านได้เรียนรู้จากอาจารย์เวลาที่เดินธุดงค์ในป่าลึกที่ปราศจากผู้คนเป็นคาถาที่ขอบิณฑบาตจากพวกนางไม้หรือรุกขเทวดาได้ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนจากอาจารย์ของท่านที่ละสังขารไปนานแล้วหลายเรื่องก่อนจะมาจำพรรษาที่วัดนี้ พอหลวงตาเล่าจบผมนั้นขนลุก ก่อนจะถามไปที่ท่าน

"แปลว่าหลวงตา..."

"เรื่องพวกนี้ผู้ทรงศีลจะไม่คุยให้ใครฟังเท่าไหร่ มันจะดูเป็นการโอ้อวดและผิดศีล นางไม้กับรุกขเทวดา2 องค์นั้นใส่บาตรให้หลวงตาเป็นประจำ เพราะพวกเขาก็ต้องการบุญเหมือนกัน "

ท่านเอ่ยออกมาเหมือนรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อ ก่อนจะพูดต่อไป

"แต่ตัวเจ้านะ หลวงตาดูจากดวงชะตาวันที่เปลี่ยนชื่อให้เจ้า ดวงชะตาของเจ้านะคือผู้มีบุญมาเกิดอย่างที่หลวงตาบอกกับเจ้าในวันนั้น   และเมื่อเจ้าถือเพศบรรพชิตแล้วทำให้มีบุญบารมีมากขึ้นบรรดานางไม้หรือรุกขเทวดาต่างพากันมาทำบุญกับเจ้าโดยที่ไม่ต้องสวดคาถาใดๆ มันมาจากบารมีของตัวเจ้า เหมือนกับพวกวิญญาณที่เจ้าเห็นพวกนั้นในคืนก่อนต่างเป็นวิญญาณที่เร่ร่อน เมื่อรับรู้ว่ามีผู้มีบุญบารมีมาบวช ก็จะมาขอส่วนบุญกับเจ้า หลวงตานั้นก็พอรู้แต่พูดไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดแต่เมื่อเจ้าถามหลวงตาก็จะบอกให้ ส่วนเรื่องอื่นๆที่เจ้าคาใจอยู่นั้น หลวงตาตอบไม่ได้ เพราะปัญญาและบุญวาสนาของหลวงตาไม่ถึง"

ท่านมองมาที่ผมที่ยังนั่งพนมมือรับฟัง และพอจะรู้ว่าผมนั้นยังไม่กระจ่างในเรื่องนี้เท่าไหร่ ท่านจึงพูดต่อ

"เอาละปัญหาที่คาใจของเจ้าที่ยังมีอยู่มากมายนั้น หลวงตาให้คำตอบไม่ได้แต่หลวงตารู้ว่าใครจะเป็นคนให้คำตอบเจ้าได้ ท่านเป็นทั้งสหายและอาจารย์ที่หลวงตานับถือ"

"ใครหรือครับ และท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหนครับ"

ผมถามด้วยความกระตือรือร้น

"เอาละ เอาละ ไม่ต้องใจร้อนถ้าอยากไปพบเจ้าไม่ต้องทำอะไรมากนั่งสมาธิกับหลวงตานี่แหละ ทำจิตใจให้ว่างแล้วเจ้าจะรู้ว่าจะไปได้ยังไง"

ท่านกล่าวเป็นปริศนา ผมได้ยินดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนท่านั่งไปนั่งสมาธิตามที่หลวงตาบอกทันที และมันได้ผลจริงชั่วเวลาไม่นานที่ผมนั่งสมาธิ ในดวงจิตของผมได้ยินเสียงที่เมตตากรุณาบอกมาว่า

"ทางนี้ลูก อสนีมาทางนี้พ่อรอเจ้าอยู่แล้ว"

ดวงจิตของผมเห็นเป็นแสงสว่างตรงหน้าทำให้ผมเดินไปทันทีและได้พบกับบรรยากาศที่รอบข้างนั้นเป็นป่าที่ร่มรื่น ทุกอย่างดูเจริญหูเจริญตาไปหมดมีเสียงน้ำจากลำธารและเสียงนกร้อง แต่ตรงหน้าผมนั้นมีอาศรมอยู่ 1หลัง ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อผมจากอาศรม เมื่อเดินเข้าไปจึงเห็นร่างนุ่งขาวห่มขาว ผมและหนวดสีขาว ผมนั้นถูกมัดรวบเป็นมวย ท่านเหมือนนักพรตหรือชีปะขาว ท่านนั่งอยู่บนชานหน้าอาศรม และผมเห็นหลวงตานั้นนั่งอยู่ด้านข้างโดยหันหน้าไปทางท่านผมทรุดกายนั่งกับพื้นดินลงตรงหน้าท่านพร้อมพนมมือ ต่อหน้าร่างที่นั่งสมาธิอยู่ ไม่นานนักร่างนั้นลืมตาพร้อมกับรอยยิ้มให้ผมแล้วพูดขึ้นมา

"ขอให้มีความสุขความเจริญ แก่ผู้ที่มาเยือนเราในวันนี้"

ผมพนมมือขึ้นกลางอกรับพรแต่ก่อนที่จะถามอะไรท่านได้กล่าวขึ้น

"เรามีนามว่ากัสปะ เราถือศีลอยู่ที่ป่าแห่งนี้ เราเป็นผู้รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต"

"ถ้าแบบนั้นท่านคงจะบอกปัญหาที่มันคาใจผมมาร่วม 10 ปีได้สิครับ"

ผมบอกไปยังท่าน ท่านยิ้มให้ผมอย่างเมตตาก่อนจะตอบ

"พ่อคงจะให้ความกระจ่างแก่เจ้าได้ตามที่สวรรค์หรือพรหมลิขิตกำหนดไว้เท่านั้นนะอสนี"

ท่านเรียกขื่อผมอย่างกรุณา ผมนั้นไม่ถามอะไรเพราะพอจะทราบว่าเพราะอะไรท่านถึงรู้จักชื่อของผมตั้งแต่ที่ท่านเรียกผมให้มาพบ แล้วท่านจึงเอ่ยขึ้นมา

"อย่างที่หลวงตาเจ้าบอกเจ้าเป็นคนมีบุญมาเกิดยังมนุษย์โลก การเกิดของเจ้านั้นเจ้าเป็นคนเลือกเองเพื่อมาชดใช้กรรมเก่าที่เจ้าเคยก่อไว้ในอดีตชาตินานมาแล้ว และเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าในวัยเยาว์นั้นนั้น พ่อบอกเจ้าได้ มันเกิดจากความคึกคะนองของเทพ 2 องค์ที่ใช้พลังเกินกว่าที่ตัวเจ้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดาจะรับได้แต่ดวงชะตาของเจ้านั้นยังไม่ฆาต เทพองค์นั้นเลยคืนชีวิตและประทานพลังวิเศษให้กับเจ้า ทำให้เจ้ามีพลังวิเศษติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นใครๆก็ต่างพากันสงสัยและหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเจ้าถึงฟื้นขึ้นมารวมถึงบาดแผลต่างๆนั้นหายอย่างรวดเร็ว มันเป็นเพราะพลังที่เจ้าได้รับ มันรวมถึงชื่อของเจ้าด้วยเพราะชื่อเดิมนั้นไม่เหมาะสมกับสถานะของเจ้า ชื่อใหม่"อสนี"ที่แปลว่าสายฟ้านั้น เป็นชื่อที่หลวงตาของเจ้าตั้งให้นั้นเหมาะสมกับสถานะของเจ้าที่สุด"

"แล้วทำไม"

ผมเอ่ยถามยังไม่ทันจบท่านกัสปะได้พูดขึ้นมาเหมือนจะรู้ว่าผมจะถามอะไร

"เอาละพ่อจะบอกเจ้าเป็นข้อๆไป เรื่องแรกเจ้าคงสงสัยว่าทำไมพลังที่เจ้าได้นั้นถึงค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นโดยไม่ต้องเรียนรู้หรือฝึกฝน อันนี้พ่อบอกเจ้าได้ เทพที่ประทานพลังให้แก่เจ้านั้นกำหนดให้พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นมาอายุและวุฒิภาวะของเจ้าเพื่อเจ้าจะได้ควบคุมพลังทั้งหลายได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหากับเจ้าเองที่ควบคุมพลังไม่ได้ พลังที่เทพองค์นั้นประทานให้เจ้าเป็นพลังที่มหาศาลเกินกว่าที่เจ้าจะรู้ มันเหมือนพลังสายฟ้าหรือจะพูดว่าเป็นกระแสไฟจากตัวเจ้า พลังนี้ใช้ได้ทั้งป้องกันตัวหรือทำลายศัตรูเจ้าและยังสามารถไปเพิ่มพลังให้อีกฝ่ายรวมถึงสร้างกายหยาบให้บรรดาภูตผีวิญญาณที่สามารถติดต่อสื่อสารตามที่เจ้าต้องการได้"

"ติดต่อสื่อสารกันได้"

ผมทวนคำของท่านกัสปะเบาๆ เหมือนที่ผ่านมาท่านได้อธิบายต่อ

"เอาละเรื่องนี้พ่อจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจอย่างง่ายๆ มันเหมือนกับคลื่นวิทยุสื่อสารนั่นเอง คือถ้าเจ้ากับบรรดาวิญญาณหรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติมีคลื่นสื่อสารที่ตรงกันก็สามารถสื่อสารกันได้ แต่บางครั้งที่เจ้าเห็นและไม่สื่อสารกันได้ก็เป็นเพราะคลื่นสื่อสารไม่ตรงกันแต่อาจจะมีการรับฟังกันได้ฝ่ายเดียวในบางครั้งเหมือนกับที่จู่ๆคลื่นวิทยุมาชนกัน แต่ก็ดีแล้วที่เจ้าเชื่อฟังคำบอกกล่าวของท่านพระภูมิเจ้าที่บ้านเพื่อนของเจ้าในตอนนั้น เพราะถ้าเจ้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้วมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่โตไปละเมิดพรหมลิขิตหรือเส้นแบ่งจักรวาลนั้นๆได้ เพราะวิญญาณบางพวกที่พยายามจะติดต่อกับเจ้านั้นบางทีก็ประสงค์ร้ายหวังจะใช้พลังวิเศษของเจ้าเป็นเครื่องมือในการทำชั่ว ถ้าเจ้าจะถามพ่อต่อว่าวิญญาณเหล่านั้นล่วงรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามีพลังวิเศษ ในสายตาคนทั่วไปนั้นมองไม่เห็นแต่ถ้าเป็นพวกภูตผี วิญญาณหรือบรรดาเทพต่างๆจะมองเห็นรัศมีพลังจากกายเจ้าหรือรับรู้ได้ถึงพลังของตัวเจ้า"

ท่านเงียบไปชั่วขณะเหมือนจะปล่อยให้ผมใช้ความคิดเรื่องที่ท่านบอก ก่อนจะบอกต่อ

"ข้อต่อมาที่พ่อบอกเจ้าว่าพลังของเจ้านั้นค่อยๆเติบตามอายุตามวัยของเจ้าเพราะเทพที่ประทานพลังให้แก่เจ้านั้นให้สิ่งที่คอยควบคุมและคอยเตือนใจเจ้า นั่นคือปานที่เป็นรูปสายฟ้าที่ท้องแขนด้านขวาของเจ้า  ปานรูปสายฟ้าจะคอยกำหนดว่าวัยของเจ้าในตอนไหนควรใช้พลังแบบไหนจนเจ้าโตขึ้นพลังเหล่านี้จะเพิ่มตามวัยของเจ้าและเป็นเครื่องเตือนใจให้เจ้ารู้ตัวเองว่ามีพลังอะไร ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าเกิดคะนองฤทธิ์เดชขึ้นมาใช้พลังอย่างไม่มีการควบคุมมันจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีเหมือนกับที่เจ้าเคยใช้มือวิเศษปกป้องตัวเจ้า แต่จะไปรังแกใครก็จะมีสิ่งที่คอยเตือนเจ้าตลอดว่าไม่ควรทำ"

"ท่านหมายถึงพลังต่างๆที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาบนตัวผมใช่ไหมครับ"

"ใช่แล้วลูก พลังพวกนี้ถูกกำหนดให้ใช้ได้เฉพาะป้องกันตัวเจ้า หรือสิ่งที่เจ้าคิดว่าเหมาะสมไม่ใช่ไปรังแกระรานใคร"

ท่านกล่าวเป็นนัย แต่ผมนั้นฉุกคิดได้จึงได้ถามท่านต่อไปว่า

"แล้วที่ผ่านๆกับเรื่องพฤติกรรมของผมละครับ ที่ไปล่วงละเมิดคนอื่น"

ท่านกัสปะหัวเราะออกมาก่อนจะตอบผม

"เจ้าต้องเข้าใจนะต่อให้เป็นเทพ เทวดา ก็ยังละเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้ ยิ่งพวกเทพ พวกเทวดาต่อให้มีอิทธิฤทธิ์เยอะขนาดไหนแต่ยังมีกิเลสอยู่ และที่สำคัญเทพที่มอบพลังให้แก่เจ้านั้นถ้าพูดตามประสามนุษย์โลกละก้อ เป็นคนที่เจ้าชู้สุดๆ มีทั้งชายาทั้งสนมจำนวนมากมาย เมื่อเจ้าใช้ฤทธิ์แบบที่ผ่านๆมา กับบรรดาผู้หญิง มันย่อมเหมือนกับนิสัยของผู้มอบพลังให้แก่เจ้า ดังนั้นจะในเรื่องกามารมณ์จะไม่มีอะไรมาเตือนสติเจ้าในเรื่องมันจะเลยตามเลยไปตามอารมณ์และตัณหา ยกเว้นสิ่งที่ควบคุมเจ้ามาเตือนว่ามันไม่เหมาะ มันไม่ควรกับคนๆนั้น ยิ่งถ้าเป็นผู้ที่ประสาทวิชาครูบาอาจารย์ให้กับเจ้าแล้ว ปานรูปสายฟ้าจะคอยดึงสติของเจ้าเหมือนคอยห้ามไม่ให้เจ้ารังแกหรือล่วงเกิน ดังนั้นต่อไปนี้พ่ออยากจะบอกเจ้าว่า เจ้าเป็นคนฉลาดควรจะรู้อะไรควรไม่ควร พ่อไม่อยากให้เจ้าทำผิดศีลธรรมถึงผู้หญิงจะยินยอมเพราะหน้าตาและเสน่ห์ของเจ้านั้นดึงดูดเพศตรงข้ามมาตลอดแถมเจ้ามีพลังวิเศษเหนือมนุษย์อีก แต่ถ้าเป็นเรื่องสามัญของบรรดามนุษย์โลกขอให้เจ้าพิจารณาเอาเองว่ามันควรหรือไม่เรื่องที่ผ่านๆมาถ้ามองย้อนไปในอดีตบรรดาคนที่มาเกี่ยวข้องกับเจ้าจะมีเวรกรรมหรือการผูกพันกันมาจากอดีตชาติ  ชาตินี้จึงได้มาบรรจบพบเจอกันอีกเพื่อชดใช้เวรที่ทำร่วมกันมา ถึงในอนาคตก็จะมีอีก แต่ขอให้เจ้าพึงสังวรไว้ด้วยว่าถ้ามันทำแล้วมันกระทบไปถึงเส้นที่จักรวาล จนกลายเป็นการล้ำเส้นแล้วมันจะส่งผลร้ายต่อเจ้าเอง"

ท่านเว้นระยะไว้ชั่วครู่แล้วพูดต่อ

" อีกอย่างเรื่องที่พ่อจะบอกเจ้าได้ แต่เจ้านั้นไม่อาจรู้ตัวว่าทำไมในเรื่องการเรียนเจ้าถึงเก่งและฉลาดกว่าคนทั่วไปโดยเฉพาะในสาขาที่เจ้าได้ศึกษาจนจบ นั่นคือพรสวรรค์ที่ติดตัวเจ้ามาแต่กำเนิด ทำให้เจ้าเข้าใจเรียนรู้อย่างรวดเร็วกว่าคนทั่วๆไปแต่จริงๆแล้วพรอันนี้มันจะโตตามวัยของเจ้า แต่เพราะพรที่เจ้าได้จากเทพในวัยเด็กมันทำให้เจ้าเรียนรู้ได้เร็วและฉลาดกว่าคนทั่วๆไปในวัยเดียวกัน"

พอได้ยินประโยคนี้ทำให้นึกได้ว่าทำไมผมถึงไม่เคยสงสัยเรื่องนี้หรือมาจากการทะนงว่าเรียนเก่งและฉลาดกว่าคนอื่น เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะวิชาไหนโดยเฉพาะตอนเรียนสถาปัตย์ อาจารย์สอนเพียงแค่ครั้งเดียวผมนั้นเข้าใจทันทีไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆที่บางครั้งต้องมีการทวน ยิ่งเวลาสอบมันเหมือนมีบทเฉลยปรากฏในสมองผม ยิ่งการออกแบบของผมนั้นถือว่าเก่งที่สุดในรุ่น มีบางผลงานที่อาจารย์ยอมรับว่าทำสู้ผมไม่ได้โดยเฉพาะผลงาน "วัชรทิพยสถาน" ที่ไม่ใครสามารถทำหรือเลียนแบบได้แม้กระทั่งการเรียนที่เมืองนอกที่ผมนำหน้าเพื่อนร่วมชั้นตลอด สิ่งเหล่านี้คือพรสวรรค์ที่ผมมีหรือนี่ 

เมื่อเห็นผมเงียบไป ท่านกัสปะได้ถามผม

"ว่ายังไงเจ้ามีอะไรสงสัยตรงไหนอีก"

ผมนิ่งนึกถึงเรื่องที่เป็นปริศนาในชีวิตมาตลอดก่อนจะนึกขึ้นได้ แต่พอทำท่าจะถาม ท่านกัสปะที่ดูจะอ่านใจผมออกพูดออกมา

"เรื่องที่เจ้าเคยผจญกับยักษ์มารและบรรดาลูกสมุน ใกล้ๆที่พักของเจ้าละสิ เรื่องแบบนี้จะถือว่าเป็นมารผจญอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้แต่สาเหตุหลักๆมาจากที่เจ้ายักษ์ตนนั้นมันอาศัยที่ต้นไม้นั้นมานาน มันกับลูกสมุนอาศัยการหากินด้วยวิธีผ่านพวกมนุษย์ที่อ้างว่าเป็นหมอผี ร่างทรงเจ้าเข้าผี ที่หากินด้วยวิธีต่ำช้า พวกมันได้อานิสงค์ที่บรรดาหมอผีต่างเซ่นไหว้ของให้พวกมัน พอทีนี้เจ้าไปอยู่ใกล้ๆกับที่มันอาศัยอยู่ มันรับรู้ได้ถึงพลังของเจ้าทำให้มันกลัวเลยหาเรื่องที่จะกลั่นแกล้งหลอกหลอนลองดีกับเจ้าโดยที่มันหารู้ไม่ว่าพลังของเจ้านั้นมหาศาลเพียงไหน ถึงเจ้ายักษ์ตนนั้นจะไม่ได้เจอพลังของเจ้า แต่ลูกสมุนมันเจอเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวกมันเข็ดหลาบไปได้ไม่กล้ามายุ่งกับเจ้าอีก"

"แต่วันนั้น ตัวหัวหน้ามันพูดจาแปลกๆกับผมนะครับ"

ท่านกัสปะยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องนี้ท่านไม่สามารถที่จะตอบได้ ผมได้ถามท่านไปว่า

"แล้วตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนแล้วครับ ผมกลัวมันจะไปทำสิ่งที่ไม่ดีชั่วร้ายกับคนอื่นต่อ"

ท่านยิ้มๆก่อนจะบอกว่า

"ท่านท้าวกุเวรได้จับพวกมันไปลงทัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันกับพวกสมุนจะไม่ได้มาก่อกรรมทำชั่วได้อีกชั่วกัปชั่วกัลป์"

ผมได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจแล้วพูดกับท่านต่อ

"ท่านครับเมื่อท่านรอบรู้ขนาดนี้ ผมอยากจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านอีกคนครับ"

ท่านกัสปะสบตากับหลวงตาที่นั่งเงียบไม่พูดจามาตลอดก่อนจะยิ้มอีกแล้วตอบผม

"พ่อก็ไม่รู้จะสอนอะไรเจ้า เพราะเจ้ามีพลังที่เหนือกว่าพ่อมาก แต่เอาหละในเมื่อเจ้าอยากจะฝากตัวพ่อก็ยินดีรับเจ้าเป็นลูกศิษย์อีกคน"

ผมก้มลงกราบแล้วตอบท่านไป

"ที่ท่านบอกเล่าเรื่องความเป็นมาของผมขนาดนี้ทำให้รู้แจ้งแล้วครับ เหมือนอาจารย์ที่ประสิทธิ์วิชาให้แก่ศิษย์ที่โง่งม ให้เห็นทางสว่าง"

ท่านยิ้มรับคำแล้วบอกผมว่า

"เอาละถึงเวลาอันควรแล้วเจ้าควรจะกลับไปยังถิ่นที่เจ้ามา พ่อของเจ้ากำลังรออยู่"

"ท่านอาจารย์ครับแล้วผมจะมากราบเพื่อเรียนรู้หรือสนทนากับท่านได้อีกหรือไม่ครับ"

"ได้สิ พ่อยินดีต้อนรับเจ้าตลอด การมาหาพ่อนั้นไม่ยุ่งยากอะไรเพียงแต่ขอให้เจ้านั่งสมาธิแล้วทำกำหนดจิตว่าจะมาหาพ่อเจ้าก็จะได้มา แต่บอกก่อนนะว่าจะมาถามอะไรจากพ่ออีกคงไม่ได้แล้ว เพราะสวรรค์อนุญาตให้เจ้ารู้เพื่อหายสงสัยเพียงเท่านี้"

ผมกล่าวลาท่านแล้วก้มลงกราบ พลันผมก็ลืมตาก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ในโบสถ์ ตรงหน้าคือหลวงตาที่มองมาที่ผมด้วยรอยยิ้ม

"ไงเจ้าอัส หายสงสัยไปบ้างหรือยัง ท่านนักพรตชี้ทางให้เจ้าได้เห็นความสว่างไม่มากก็น้อยนะ เพราะถ้าท่านไม่บอกมันอาจจะทำให้เจ้ามีปัญหาได้ในเรื่องที่เจ้าสงสัย คนเราบางครั้งต่อให้เก่งหรือฉลาดแค่ไหนแต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้มารบกวนจิตใจอาจทำให้สติแตกได้สักวัน เจ้าอย่าลืมละสิ่งที่อาจารย์ได้บอกไว้ขอให้นำไปปฏิบัติด้วย ควรรู้ไว้เรื่องไหนควรไม่ควร"

"ครับหลวงตา"

ผมรับคำแต่ไม่วายที่จะถามต่อ

"หลวงตาครับผมมีอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้ผมถามใครๆแล้วก็บอกว่าไม่รู้เรื่องแม้กระทั่งหลวงพี่ที่เป็นพระพี่เลี้ยง"

"เรื่องอะไร"

ผมถามหลวงตาไปเรื่องสองตายายที่มาใส่บาตรแล้วจู่ๆหายไปแถมคนในวัดนั้นต่างจำไม่ได้ หลวงตาท่านตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

"เป็นผู้มีบุญที่ตั้งใจจะมาใส่บาตรกับเจ้าโดยเฉพาะนะ อย่าไปกังวลอะไรเลย เพราะหลังจากที่เจ้าลาสิกขาแล้วความจำของคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะถูกถอนออกไป หลวงตาบอกเจ้าได้เท่านี้นะ"

ผมก้มลงกราบหลวงตาก่อนจะพาท่านออกมานอกโบสถ์ซึ่งพ่อผมนั้นมารอรับอยู่แล้ว หลังจากนั้นผมมาเริ่มงานที่กรุงเทพ ในบริษัทของรุ่นพี่ที่ยังรอผมอยู่ โดยผมพักที่คอนโดหลังเดิม แต่บางครั้งตอนที่เข้าไปอยู่ใหม่ๆมันก็ทำให้ใจหายไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนจะมีเกตุอยู่ด้วย เราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากที่ผมไปเมืองนอก ต่างคนต่างมีวิถีทางของตัวเอง ทำงานครั้งนี้พ่อกับแม่ผมซื้อรถเก่งยุโรปป้ายแดงให้ใช้ การทำงานของผมนั้นเป็นไปด้วยดีจนได้รับคำชม โดยเฉพาะ "พี่โต" ที่เป็นเจ้าของบริษัทนั้น ชมผมอย่างมาก สมกับที่รอผมมา 2 ปี หลังจากผ่านไป 6เดือนเศษๆ ที่ผมได้เริ่มงานในช่วงสายๆพี่โตได้เรียกผมเข้าไปพบในห้องประชุม ในห้องผมพบพี่โตกับผู้ชายที่ดูภูมิฐาน นั่งอยู่ด้วย หลังจากที่แนะนำตัวให้รู้จักแล้ว ผู้ชายคนนั้นชื่อ ภูวดล เป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ที่ภูเก็ต

"คนนี้ใช่ไหมคุณโตเจ้าของผลงานที่ชนะเลิศเมื่อ 2-3ปีทีแล้ว"

เป็นคำถามแรกหลังจากที่ทุกคนนั่งลง

"ใช่ครับคุณภูวดล มือดีของเราเลยครับ ผมก็รอเหมือนคุณภูวดลเหมือนกันแต่การรอนั้นคุ่มค่าจริงๆ"

พี่โตตอบไปคุณภูวดลหันมามองผมพร้อมพูดขึ้น

"เอาละคุณอัส ผมเข้าเรื่องเลยนะไม่อ้อมค้อม คือแบบนี้ผมชอบการออกแบบที่คุณให้ชื่อว่าวัชรทิพยสถานมาก  ผมพูดตรงๆหลังจากที่ผมเห็นผลงานคุณ ผมพยายามติดต่อสอบถามเรื่องคุณแต่รู้ว่าคุณไปเรียนต่อ ผมตอนนั้นก็ใจร้อนนะ ให้บริษัทหลายเจ้าทำให้คล้ายๆกับที่คุณทำ แต่ไม่มีใครทำได้ ผมตั้งใจจะให้เป็นอาคารสร้างใหม่ของโรงแรมที่ภูเก็ต พูดง่ายอยากจะทำให้เป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมเลย แต่ให้คนอื่นทำมันติดขัดตลอด ผมเลยอดทนรอ จนได้ข่าวว่าคุณเรียนจบแล้วมาทำงานที่นี่ ผมอยากให้คุณออกแบบให้ ทุนนะผมมีไม่อั้น"

จากที่ได้รับข้อมูลจากคุณภูวดลทำให้รู้ว่าคุณภูวดลต้องการสร้างอาคารสูง 8ชั้นโดยใช้รูปทรงเหมือนกับที่ผมออกแบบ แต่ไม่มีใครสามารถทำได้ตามที่คุณภูวดลต้องการแถมมีปัญหาตามมาตลอดที่สำคัญคุณภูวดลเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอย่างมาก ถ้าอาคารที่ออกแบบแล้วไม่ถูกหลักฮวงจุ้ยตามที่ซินแสดูแกจะไม่สร้าง และที่ผ่านมาจะเจอปัญหานี้ตลอด ทำให้คุณภูวดลตัดสินใจชะลอโครงการไว้ก่อนเพื่อรอผมกลับมา ซึ่งคุณภูวดลนั้นเคยให้ซินแสดูแบบอาคารที่ผมออกแบบแล้วซินแสบอกว่าดีทุกอย่างแต่อาจมีแก้ไขอีกเล็กน้อย คุณภูวดลเลยรอผม ตอนแรกด้วยอีโก้ของผม ผมไม่ยอมที่จะแก้ แต่ในที่สุดก็ต้องยอมแก้เพราะวันที่ผมไปดูพื้นที่จริงๆ ระหว่างยืนดูสถานที่จะก่อสร้าง มันเป็นที่ว่างที่จะไปยังชายหาด ห่างจากอาคารหลังเก่า พอสมควร และผมไปสะดุดตากับต้นไม้ใหญ่ เมื่อลองคำนวณคร่าวๆจากสายตาแล้วบริเวณของต้นไม้จะติดกับอาคารพอดี ผมยกแปลนที่อยู่ในไอแพดขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนจะหันไปถามคุณภูวดลและผู้จัดการโรงแรมรวมถึงซินแสประจำตัวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

"แล้วต้นไม้ต้นนั้นละครับ คุณภูวดลคิดว่าจะทำยังไง"

"ผมว่าจะย้าย ไม่ตัดเพียงแต่อยากถามคุณอัสว่าควรย้ายไปตรงไหนดีจะได้ไม่มีปัญหากับทัศนียภาพที่ผมอยากจะโชว์ตัวอาคารไม่อยากให้ต้นไม้บัง และอีกอย่างคนในโรงแรมนับถือต้นไม้ต้นนี้มากพวกพนักงานมาขอหวยกันเป็นประจำพนักงานเรียกกันว่าพ่อปู่"

ผมฟังแล้วมองไปรอบๆ แต่มีอะไรสะดุดตาที่บริเวณต้นไม้ ผมจึงทำทีขอเดินเข้าไปดู ผมเห็นชายแก่ในชุดนุ่งขาวห่มขาวยืนมองมาที่ผม พอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมได้ยินเสียงทักมา

"ท่านผู้มีบุญวาสนาข้ารอพบท่านมานานแล้ว"

"มีอะไรหรือครับท่าน"

ผมตอบกลับทางจิตนี่เป็นอีกครั้งที่ผมติดต่อกับสิ่งลี้ลับได้ ใบหน้านั้นดูนิ่งเฉยแต่แววตาดูออกว่าเป็นทุกข์

"เรามีเรื่องจะรบกวนท่าน"

"เรื่องอะไรครับ แต่ถ้ามันล้ำเส้นจักรวาลเห็นทีผมจะทำให้ไม่ได้"

"ไม่ต้องกังวลเราแค่อยากจะบอกท่านว่า เราอาศัยอยู่ในต้นไม้นี้มานานแล้ว แต่ถ้าต้นไม้นี้ถูกย้ายหรือตัดเท่ากับว่าเราจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน เราอยากจะของร้องท่านให้ช่วยเราด้วย"

"ต้นไม้ก็ไม่ได้ตัดนี่ครับ ทางเจ้าของแค่ย้าย"

"ท่านไม่เข้าใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรานั้นถูกกำหนดให้มาอยู่กับต้นไม้นี้จนกว่าจะครบวาระหลังจากนั้นเราจะขึ้นไปอยู่ภพที่สูงกว่า ถ้าย้ายไปแบบนี้เราจะกลายเป็นวิญญาณที่ไม่มีที่อยู่อาศัยในทันที"

"ถ้าอย่างนั้นผมจะขอเจ้าของไม่ให้ย้าย เพราะเรื่องพวกนี้ผมพอจะคุยได้อาจแก้แบบนิดนึง"

ร่างนั้นส่ายหน้าก่อนจะตอบผม

"เราอยู่ไม่ได้ เพราะสถานที่ที่ออกแบบและจะก่อสร้างนั้นเสมือนกับที่อยู่ที่พักของเทพชั้นสูง บุญบารมีของเราไม่ถึง เราไม่อาจจะอยู่ได้แม้ใต้ชายคา"

"เอาละครับ ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจแล้ววิธีแก้จะต้องทำยังไงครับ"

แววตาของท่านรุกขเทวดานั้นดูแจ่มใสขึ้นก่อนจะตอบผม

"ไม่ต้องยุ่งยากอะไร เพียงแต่วันที่ย้ายขอให้เจ้าของโรงแรมจุดธูป 9 ดอกแล้วบอกกล่าวเราว่าจะย้ายต้นไม้ไปอยู่ที่ไหน เท่านั้นเราก็จะตามไปอยู่ได้"

"อืมมม แล้วท่านคิดว่าตรงไหนจะเหมาะที่สุดครับ"

"ขอให้เป็นด้านทิศตะวันออก ท่านคงมองเห็น เพียงแต่อย่าให้อยู่ในรัศมีของอาคารที่จะสร้างนี้  แล้วเรามีเรื่องจะเตือนท่านอีกเรื่อง"

"อะไรหรือครับ"

"วัชรทิพยสถานที่ท่านเป็นคนออกแบบนั้น  ต้องเป็นคนมีบุญอย่างท่านหรือเทพเทวดาชั้นสูงเท่านั้นที่จะอาศัยอยู่ได้ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดามาอยู่แล้ว จักเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน และอาจเป็นปัญหาใหญ่"

ได้ยินแบบนั้นผม ตกใจมากจึงถามกลับไป

"ปัญหาอะไรหรือครับ"

"เราบอกไม่ได้ แต่อาจเกิดไฟไหม้ หรือ เกิดเภทภัยกับเจ้าของได้เพราะบุญบารมีไม่ถึง"

"แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ"

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

mario

พระเอกน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพระอินทร์หรือไม่ อย่างไรครับ

fiat1976


Phongphan Phetcharat

 ::Ahh::เรื่องน่าอ่านชวนติดตามมากครับ

สถาพร

สิ่งที่อัสสงสัยเริ่มคลายไปทีละประเด็น ถึงจะไม่หมดก็ตาม เพียงแต่ต้องใช้เวลา

masterelectrode

ค่อยๆ แกะ ค่อยๆเลาะไป น่าลุ้นมาก แต่อยากให้ไปหาเกตุอยู่นะครับ

yahoo


Mylove1234

ยังไม่ได้อ่านนะครับ ขอเม้นทีกำลังรอคอยเลย ชอบในพลังของพระเอกมากๆ. แต่อยากให้มีตัวละครที่มีพลังมาต้านกันจัง

potaeds

โคตรสนุกอ่านแล้วยังเดาต่อไม่ได้เลย

testman

ค่อย ๆ เฉลยไปทีละประเด็น
ว่าแต่ เกตุนี่จะมีโอกาศกลับมาพบกันไหมครับ ดูท่าจะมีวาสนากันมา

loliconman01

แก้เรื่องตึกที่สร้างยังไงล่ะทีนี้

jeditay

เรื่องน่าติดตามมากๆคับคล้ายๆรักยมเลย

anigkanjana

ผูพื้นเรื่องได้น่าติดตามมากเลยครับ ผมชักจะติดแล้วสิเนี่ย

23pompompom


champsigma

ปัญหาเยอะจังนะอัส สงสัยมา10ปี กระจ่างกี่เรื่องเนี่ย  ::Thinking::