เป็นอีกตอนที่ไม่มีบทเสียวนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิญญาณทั้งหมด ต่างมองมาที่แม้นแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ จนลินดากลับมาถึงห้อง เธอเข้าไปในห้องนอน แล้วนั่งบริกรรมหน้าเตียงเรียกวิญญาณที่เลี้ยงออกมาพบ เมื่อร่างทั้ง 7 มานั่งตรงหน้าเธอ ลินดายังไม่ได้สังเกตอะไรแต่พูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“เป็นยังไงกัน เห็นหนุ่มหล่อมาไม่ได้เลยนะ”
แต่พอพูดจบเธอรู้สึกได้ทันที พอเห็นสีหน้าของบรรดาวิญญาณทั้งหมด จึงถามไปที่แม้น
“มีอะไรหรือพี่แม้น ทำไมหน้าตื่นกันแบบนี้”
แม้นหันไปมองบรรดาวิญญาณทั้งหลายก่อนจะตอบไปยังหญิงสาว
“นี่คือคุณอสนีที่ท่านพระภูมิแนะนำให้คุณหนูไปปรึกษาใช่ไหมเจ้าคะ”
“ก็ใช่นะสิ ทำไมหรือ”
“คืออย่างนี้นะเจ้าคะ ตอนที่ท่านผู้นั้นกับคุณหนูเข้ามาในอาคารพวกบ่าวทั้งหมดรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่เคยพบกันมาก่อน และพอคุณหนูพาท่านอัสนีเข้ามาในห้อง นอกจากเรื่องของพลังแล้วพวกบ่าวเห็นรัศมีที่เป็นประกายออกจากร่างท่านอสนีเจ้าคะ”
ลินดาพอได้ยินทำเอาเธอประหลาดใจมาก จนแทบจะลืมเรื่องที่เธอตั้งใจจะบอกไปยังบรรดาวิญญาณเหล่านี้
“อธิบายให้ฉันเข้าใจได้ไหมพี่แม้น”
แม้นส่ายหน้าก่อนจะตอบ
“บ่าวไม่รู้จะบอกยังไงเจ้าคะคุณหนู บ่าวเองก็ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ขนาดบรรดาเจ้าป่าเจ้าเขาที่บ่าวเคยเจอว่ามีบารมีมากแล้วแต่กับท่านผู้นี้เทียบกันไม่ติดเจ้าคะ สายทองเองก็ไม่เคยเจอ ยิ่งมีรัศมีที่เป็นลักษณะประหลาดออกจากตัวก็เป็นครั้งแรกที่บ่าวเห็นจากคนธรรมดาเจ้าคะ”
“หรือว่าเขามีวิชาอาคม แต่ฉันก็ไม่เคยสัมผัสได้นะ”
“ไม่น่าจะใช่เจ้าคะ ถึงคุณหนูจะมีวิชาอาคมแต่ก็ยังอยู่ในพวกมนุษย์ทั่วๆไปจึงไม่รู้และสัมผัสไม่ได้ แต่พวกบ่าวที่เป็นวิญญาณสามารถสัมผัสได้ แต่เป็นรัศมีและพลังที่ดีนะเจ้าคะ คนแบบนี้น่าจะอยู่ในพวกคนที่มีบุญญาธิการนะเจ้าคะ ตรงนี้บ่าวขอเดาไปก่อนเพราะเคยแต่ได้ยินเขาพูดๆกัน”
ลินดาถอนหายใจพร้อมนึกมีประเด็นใหม่ให้เธอคิดอีกแล้ว เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกไปยังบรรดาวิญญาณที่เธอเลี้ยง
“มันก็น่าคิด วันนี้ฉันก็พึ่งรู้ว่าเขาเคยโดนฟ้าผ่าจนเกือบตายมาแล้ว แต่ไม่ตายแถมไม่มีแผลหลงเหลือนอกจากตรงท้องแขน แต่เอาละเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน เรายังมีเวลาคิด ฉันมีเรื่องจะบอกพวกเธอ คือเรื่องแรก คัมภีร์อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วฉันเชื่อว่า วิญญาณร้ายของหมอผีสุขคงไม่กล้าไปรบกวนแน่นอน เพราะหลวงตาที่คุณอัสแนะนำให้ไปปรึกษาท่านรับที่จะฝากไว้ ท่านเป็นอริยสงฆ์อย่างแท้จริง ฉันเชื่อว่าคัมภีร์ต้องปลอดภัยแน่นอน ส่วนอีกเรื่องฉันบอกว่าหลังจากที่ได้คุยกับหลวงตาท่านในหลายๆเรื่องบางเรื่องนั้นตรงกับที่คุณตาพระภูมิท่านเคยบอก มันทำให้ฉันคิดได้ ฉันคิดว่าฉันจะปลดปล่อยพวกเธอทั้งหมด”
พอลินดาพูดจบบรรดาวิญญาณทั้งหมดต่างมีท่าทีที่ตกใจ แม้นนั้นถามมาทันทีด้วย
“คุณหนูทำไมละเจ้าคะ”
“พี่แม้น หลวงตาชี้ทางสว่างให้กับฉัน ความจริงพวกเธอน่าจะไปอยู่ที่ภพภูมิที่ดีกว่านี้ไม่ก็ไปเกิดใหม่แล้วแต่กรรมของแต่ละคน แต่พวกเธอไปไหนไม่ได้เพราะถูกฉันกักไว้ ถึงฉันจะไม่ใช่อาคมกักไว้ก็ตามที”
น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ ก่อนจะพูดต่อไป
“ในเมื่อทั้งคุณตาพระภูมิกับหลวงตาพูดตรงกันทำให้ฉันคิดได้ ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับหมอผีสุข ที่เลี้ยงพวกเธอไว้สนองความใคร่ ก็จริงอย่างที่เขาว่าฉัน ในเมื่อฉันกักวิญญาณพวกเธอไว้ด้วยจุดประสงค์แบบนี้ มันก็บาปชนิดหนึ่ง โปรดเข้าใจฉันด้วย”
“แต่นายหญิงให้ความเมตากับพวกดิฉันมากนะคะ ตอนที่ดิฉันถูกไอ้หมอสุขกักมันทรมานมากเจ้าคะ อยู่กับนายหญิง นายหญิงอุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน”
เสียงเกศราพูดขึ้นทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้มันจะครบ 1 ปี พอดีกับที่เธอพาวิญญาณของเกศรามาอยู่ด้วย
“มันก็จริง แต่ต่อไปมันจะไม่เป็นผลดีกับฉันและพวกเธอ”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบจนแม้นพูดขึ้นมา
“ถ้าพวกบ่าวไม่อยู่ แล้วเกิดไอ้ผีร้ายนั่นยังวนเวียนอยู่ นายหญิงจะทำอย่างไรคะและนายหญิงอย่าลืมอีกเรื่องด้วยนะเจ้าคะมันสำคัญมาก”
ลินดาพยักหน้าเพราะรู้ดีว่าประโยคสุดท้ายที่แม้นบอกมาหมายถึงเรื่องอะไรแต่เธอบอกไปยังวิญญาณเหล่าต่อ
“หลวงตาท่านบอกกับฉันว่า ถ้าเกิดมีอะไรมารบกวนมันอาจจะมาจากเวรกรรมของฉันเองถ้าฉันไม่ปล่อยวาง ยังคิดที่จะต่อสู้สิ่งที่มารบกวนอาจจะจองเวรไม่เลิก แต่ถ้าฉันทำบุญอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาไปให้ สิ่งนั้นก็จะหายไปเองเมื่อถึงเวลา อันควรจริงๆฉันมีรายละเอียดที่อยากจะเล่าให้พวกเธอฟัง แต่ไว้วันหลังแล้วกัน เพราะตอนนี้ฉันห่วงที่บ้าน เรายังไม่รู้ว่าไอ้ผีร้ายนั่นมันจะมาไม้ไหน ฉันต้องไปที่บ้านจะได้รับมือมันได้”
“งั้นบ่าวไปด้วยดีกว่าเจ้าคะคุณหนู จะได้ช่วยระวังระหว่างทางให้ด้วย”
“พี่แม้นอยู่ระวังทางนี้ดีกว่า ฉันว่ามันยังไม่กล้าฉันทำอะไร จนกว่ามันจะได้คัมภีร์ และมันก็คงไม่รู้ว่าคัมภีร์ไปอยู่ไหนแล้ว บาปกับบุญมันต่างชั้นกันเยอะพี่แม้น”
“แล้วเอ่อ นายหญิงกำหนดวันหรือยังเจ้าคะวันที่จะปลดปล่อยพวกบ่าวทั้งหมด”
ลินดายิ้มอย่างเศร้าๆพร้อมมีน้ำตาที่ไหลออกมา
“ฉันดูแล้ววันพระใหญ่ที่จะมาถึงนี้ เป็นวันที่ดีที่สุด”
“เจ้าคะ”
แม้นรับคำพร้อมเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเช่นเดียวกัน ก่อนที่ลินดาจะออกจากสมาธิ เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลมาแล้วนั่งสงบสติอารมณ์ชั่วขณะแล้วเตรียมตัวเดินทางไปที่บ้าน ทางนี้เธอคงเบาใจได้ยังไงไอ้ผีร้ายคงไม่กล้าบุกเข้ามา เมื่อมันรู้ว่ามันไม่ได้คัมภีร์แต่เธอห่วงที่บ้าน ถึงจะมีพระภูมิคอยปกป้องอยู่ แต่มันอาจหาวิธีอื่นเพื่อวัตถุประสงค์อันร้ายกาจของมัน มันคงจะโกรธน่าดูที่มันไม่ได้คัมภีร์และยิ่งคืนนี้อาคมของมันจะมีพลังมากขึ้น จนเธอไปถึงบ้านช่วงหัวค่ำระหว่างทานอาหารมื้อเย็น แม่ของเธอได้ทักขึ้นว่าหน้าตาเธอดูสดใสขึ้น ไม่เหมือนช่วงหลายๆที่ผ่านมาที่ดูเธอเคร่งเครียด หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มรับไม่ได้ตอบในเรื่องนี้ก่อนจะชวนคุยในเรื่องอื่น จนก่อนจะเข้านอนเธอเดินไปไหว้ที่ศาลพระภูมิ ก่อนจะขึ้นมาไหว้พระที่ห้องพระและเข้าห้องนอน ภายในห้องนอนเธอเข้าสมาธิทำดวงจิตให้ว่างและเริ่มบริกรรมคาถาเพื่อตรวจดูว่ารอบๆบ้านมี วิญญาณร้ายของหมอผีสุขมาวนเวียนอยู่หรือไม่ แต่เธอตรวจไม่พบอะไร ก่อนที่ดวงจิตของเธอจะได้ยินเสียงของท่านพระภูมิเจ้าที่แว่วมา
“นังหนูดาเอ๊ยพักผ่อนเถอะ คืนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”
“เจ้าคะคุณตา”
กระแสจิตเธอตอบกลับไปก่อนที่เธอจะออกจากสมาธิแล้วขึ้นเตียงนอน เธอสวดมนต์ไว้พระอีกครั้งก่อนจะนอนหลับด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งขึ้น
ฝ่ายอสนีหลังจากที่กลับจากคอนโดของลินดา จนถึงตอนนี้ จากที่ตั้งใจจะเข้านอนแต่มีเรื่องที่อสนีต้องเก็บมาคิดเกี่ยวกับตัวหญิงสาวผู้นี้ ทั้งๆที่ตั้งใจจะปล่อยวาง เธอดูนั้นผิดแปลกจากคนทั่วๆไป ตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกอสนีสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างในตัวเธอ ที่อสนีบอกไม่ถูกว่าคืออะไร ยิ่งตาพิเศษของอสนีเห็นว่ารอบตัวของเธอนั้นมีลักษณะเหมือนเงาสีเทา ที่อยู่รอบๆตัวเธอ เงานี้บางครั้งจะเป็นสีดำแต่ส่วนมากจะเป็นสีเทา อสนีนั้นเดาว่าเธอคงพกเครื่องรางที่เป็นของที่ทำจากมนต์ดำจึงทำให้เธอมีเงาที่เป็นแบบนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอสนีรู้ดีหญิงสาวให้ความสนใจกับตนเอง แต่สิ่งที่อสนีสัมผัสได้มันสร้างความแคลงใจมาตลอด อัสนีจึงทำเฉยๆจนมีเรื่องเกิดขึ้นกับเธอที่มีคนสติไมดีมาทุบรถและทำร้ายเธอ ซึ่งอสนีคิดว่ามันดูแปลกประหลาดเพราะก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแต่คนขับถูกคนเสียสติที่วิ่งตัดหน้าแล้วใช้ไม้ตีจนตาย มันน่าจะเกี่ยวข้องกันแน่นอนต้องไม่ใช่ความบังเอิญ
จนเธอมาขอคำปรึกษาเรื่องคัมภีร์ยิ่งทำให้อสนียิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเธอมากขึ้นแถมวันนั้นเงาของเธอดูดำมากกว่าทุกครั้ง แต่ระหว่างที่เธอเอ่ยถึงเรื่องที่ขอคำแนะนำ ในดวงจิตของอสนีได้ยินเสียงของท่านนักพรตกัสปะว่าให้นำคัมภีร์เล่มนั้นไปหาหลวงตา อสนีทำตามและในเช้าวันนี้เงาของเธอนั้นเป็นสีเทา แต่ระหว่างที่เธอคุยกับหลวงตาเงาของเธอกลับกลายเป็นสีขาว รวมถึงเรื่องที่เธอชวนคุยระหว่างที่กลับถึงอสนีจะเก็บอาการเพราะความสงสัยในตัวเธอมากขึ้น จนมาถึงห้องพักสุดหรูของเธอ ตอนแรกอสนีอยากจะปฏิเสธเธอแต่ทนอ้อนวอนไม่ได้และดูเธอหวังดีจริงๆ ยิ่งอยู่ในลิฟท์อสนีลองใช้มือวิเศษไปสัมผัสบนตัวเธอเพียงชั่วขณะเพราะไม่อยากให้เธอสงสัย แต่อสนีไม่พบอะไร ลินดานั้นหวังดีจริงๆที่ต้องการจะให้อสนีได้พักให้หายเหนื่อยจากการขับรถ แต่พอเข้าไปห้อง ยิ่งทำให้อสนีสงสัยมากขึ้นเมื่อเจอวิญญาณผู้หญิงถึง 7 ดวงอยู่ในห้องและดวงวิญญาณเหล่านั้นไม่มีลักษณะคุมคามอสนี ดูจะกลัวเสียด้วย
“เธอมีอาคมจริงๆหรือนี่ แล้วตอนนี้เธอต้องมีปัญหาอะไรกับคัมภีร์แน่นอน ต้องเกี่ยวกับไอ้สิ่งที่เธอบอกว่ามารังควาน”
ยิ่งคิดอัสนี ยิ่งมีความสงสัยทั้งๆที่ตนเองอยากจะปล่อยวางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ดูแล้วมันเป็นเรื่องที่ชวนสงสัยจริงๆ ระหว่างที่ยังสองจิตสองใจอยู่นั้น ในดวงจิตของอสนีได้ยินเสียงของหลวงตาดังขึ้นมา
“ไปเถอะเจ้าอัส เจ้าจะได้ทำบุญครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตของเจ้า”
เมื่อได้ยินเสียงของหลวงตาที่ส่งกระแสจิตมา อัสนีนั้นจึงเปลี่ยนไปนั่งสมาธิหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก่อนจะหลับตาทำดวงจิตให้ว่าง ไม่นานนักกายทิพย์ของอสนีได้ออกจากร่างไปอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าคอนโดที่ลินดาพักอยู่ อสนียืนสำรวมมองไปที่ศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่ที่ริมรั้วก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพ
“ท่านพระภูมิครับ ถ้าท่านสื่อสารกับผมได้ ขอเชิญออกมาพบด้วยครับ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดสีขาวได้มายืนแสดงกิริยาสำรวมหน้าอสนี
“ท่านผู้เจริญ ท่านเรียกเรามามีอะไรให้เรารับใช้”
อสนียิ้มให้ร่างที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะถามไปว่า
“ก่อนอื่นท่านคงเห็นการมาของผมเมื่อตอนเย็นวันนี้”
“เราเห็นการมาของท่านแล้ว”
“ผมอยากสอบถามท่านครับ ผมเห็นวิญญาณผู้หญิง 7 ดวง อยู่ในห้องพักของคอนโดนี้ ดวงวิญญาณเหล่านั้นเป็นบริวารของท่านหรือเปล่าครับ”
“หามิได้ท่านผู้เจริญ ดวงวิญญาณเหล่านั้นอยู่ในการดูแลของสตรีที่ชื่อลินดา”
คำตอบของท่านพระภูมิทำให้ข้อสงสัยของอสนีเริ่มกระจ่างขึ้นมาบ้าง อสนีจึงบอกไปยังพระภูมิเจ้าที่ต่อ
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ผมจะรบกวนท่านคือ ขอให้ท่านช่วยเปิดทางให้ผมได้พบกับดวงวิญญาณพวกนี้ด้วยครับ”
พระภูมิยิ้มให้ ทั้งๆที่รู้ว่าพลังและบารมีของอสนีนั้นสามารถเรียกวิญญาณเหล่านั้นออกมาพบได้เองโดยไม่ต้องบอกกล่าวกับตนก็ทำได้อย่างง่ายดายก่อนที่พระภูมิจะบอกยังอสนี
“เชิญท่านตามสะดวก”
“แต่ผมขอให้ท่านอยู่ด้วยนะครับ”
ร่างของพระภูมิเคลื่อนมาอยู่ด้านข้างโดยหันหน้ามาทางกายทิพย์ของชายหนุ่ม อสนีมองไปที่คอนโดก่อนจะประกาศขึ้นมา
“วิญญาณทั้ง 7ดวงที่เราได้พบกันตอนเย็น ผมขอเชิญมาพบผมด้วยครับ”
สิ้นเสียง ร่างของวิญญาณสาวทั้ง 7 ดวง ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมมองมาที่อสนีด้วยสายตาที่หวั่นๆ แต่ก่อนที่อสนีจะพูดอะไร แม้นนั้นนั่งพับเพียบลงไปกับพื้นพร้อมพนมมือขึ้น ทำให้ดวงวิญญาณที่เหลือต่างทำตามทันที
“ท่านผู้มีบุญเจ้าคะโปรดช่วยคุณหนูของอิฉันด้วยคะ”
เสียงที่ละล่ำละลั่กออกจากปากของแม้น ทำให้อสนีนั้นสงสัยจึงถามออกไป
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณชื่ออะไรครับ”
วิญญาณของแม้นนั้นรีบบอกชื่อของตนก่อนจะบอกชื่อวิญญาณดวงอื่นให้อสนีรู้
“เอาละคุณแม้น เรื่องที่คุณจะบอกผมนั้นคือเรื่องอะไรครับ”
แม้นมองไปที่พระภูมิอย่างหวาดๆ ก่อนจะเล่าเรื่องของวิญญาณร้ายหมอผีสุขที่มารังควาน รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้น จนกลายเป็นความพยาบาท แม้นเล่าจนถึงเรื่องที่ลินดาจะปลดปล่อยพวกเธอ แต่ไม่เล่าเรื่องที่ลินดาเลี้ยงพวกเธอไว้เพื่อมีสัมพันธ์สวาท อสนีฟังจนจบ ทุกอย่างที่เคยสงสัยมันกระจ่างออกมาหมดแล้ว ลินดานั้นมีเวทมนต์ชั้นสูงที่สามารถเลี้ยงวิญญาณได้ และต่อกรกับวิญญาณร้ายได้อย่างสบายๆ
“เอาละเรื่องที่คุณกลัวคือคุณลินดาไม่อยากทำอะไรโต้ตอบวิญญาณนั้น เพราะกลัวบาปกรรม และหลังจากคุณลินดาปลดปล่อยพวกคุณไปแล้ว คุณก็กลัวว่าจะไม่มีอะไรที่ช่วยคุ้มครองคุณลินดา”
“เจ้าคะ อิฉันเห็นว่าท่านมีบุญบารมีมากเลยขอร้องให้ท่านช่วยคุณหนูของอิฉันแล้ว ไหนๆท่านก็ช่วยเรื่องคัมภีร์แล้วก็อยากให้ช่วยตลอดรอดฝั่งด้วยเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ผมช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับคุณแม้น บาปกรรมจะตกมาอยู่กับผมเปล่าๆแถมจะเป็นเรื่องการล้ำเส้นจักรวาลไปอีก ผมมาพบพวกคุณนี่ก็ไม่รู้ว่าล้ำมาขนาดไหน แถมเป็นเรื่องการทำลายพรหมลิขิตไปอีก และอีกอย่างที่สำคัญมากคือ ผมกับนายสุขนั่นไม่มีเวรกรรมอะไรต่อกันเลย ถ้าผมทำอะไรนายสุขมันก็จะเป็นเวรกรรมต่อกันไม่สิ้นสุด เรื่องนี้คุณลินดาเรียนผูกแล้วต้องเรียนแก้เองครับ ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย“
สีหน้าที่ผิดหวังปรากฏบนใบหน้าของแม้นและเหล่าวิญญาณ
“ท่านช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ”
“คุณคงจะเข้าใจดีนะคุณแม้นในเรื่องนี้ ต่อให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่สามารถล้ำเส้นของจักรวาลได้ แต่ผมว่าคุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ เพราะวันนี้ตอนที่คุณลินดาได้คุยกับหลวงตา ท่านได้บอกคุณลินดาไปหลายๆเรื่องครับ ถ้าคุณลินดาคิดได้และนำไปปฏิบัติคงจะช่วยได้ครับ แต่เอาละสิ่งที่ผมสงสัยมาหลายเดือนได้คำตอบหมดแล้ว และอีกไม่กี่วันพวกคุณก็จะได้รับการปลดปล่อยแล้ว ในวันที่พวกคุณได้รับการปลดปล่อยผมขออุทิศส่วนกุศลที่ผมทำมาให้กับพวกคุณทุกคนครับ”
แม้จะยังไม่ได้รับบุญกุศลที่ถูกอุทิศให้ แต่ดวงวิญญาณทุกดวงนั้นรู้สึกเหมือนมีน้ำทิพย์มาประพรม รวมทั้งความอบอุ่นที่แผ่ไปทั่วร่าง ทั้งหมดต่างตื้นตันและก้มลงกราบอสนีโดยไม่ได้นัดหมาย เช่นเดียวกับพระภูมิที่มองไปยังอสนีด้วยความชื่นชมพร้อมกับคำสรรเสริญภายในใจ
“นับเป็นบุญของดวงวิญญาณเหล่านี้จริงๆที่ได้รับการอุทิศส่วนกุศลและการชี้ทางสว่างจากใต้ฝ่าละอองพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระราชโอรสทรงพระเจริญพระเจ้าข้า”
แต่อสนีนั้นได้พูดต่อ
“แต่ผมมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกพวกคุณคือเรื่องที่เราได้พบกันคืนนี้ขอให้เก็บเป็นความลับอย่าไปบอกคุณลินดาโดยเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาตามมาไม่หมด เพราะผมไม่สามารถที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้คุณลินดาได้ครับ เอาละครับพวกคุณไปได้แล้ว ขอให้โชคดีครับ”
“สิ่งที่ท่านอุทิศให้นั้นถือเป็นความกรุณาของท่านมากเจ้าคะ”
แม้นนั้นพูดขึ้นมาพร้อมกับดวงวิญญาณดวงอื่นที่กล่าวขอบคุณ และเป็นอีกครั้งที่บรรดาดวงวิญญาณเหล่านั้นก้มลงกราบอสนีก่อนจะสลายร่างออกไป อสนีหันหน้ามาทางท่านพระภูมิก่อนจะบอก
“ผมขอบคุณท่านมากครับที่ช่วยเปิดทางให้”
“ท่านผู้เจริญท่านทำโดยชอบแล้ว เราขอสรรเสริญในการกระทำของท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนท่านแล้วครับ ต้องขอบคุณท่านอีกครั้ง”
ร่างของพระภูมินั้นสลายไปส่วนกายทิพย์ของอสนีนั้นกลับเข้าร่างเช่นกัน ก่อนที่จะออกจากสมาธิ เสียงของท่านกัสปะนั้นส่งมาถึงดวงจิตของอัสนี
“เจ้าทำถูกแล้วอสนี”
อสนีออกจากสมาธิพร้อมหายใจยาวๆก่อนจะพนมมือมาที่อกพร้อมส่งจิตคาราวะไปยังหลวงตากับท่านกัสปะ
“ช่วยได้เท่าที่จะช่วยนะแม่หมอคนสวย”
นี่คือสิ่งที่อสนีคิดก่อนจะเข้านอน ส่วนบรรดาวิญญาณทั้ง 7นั้นต่างจับกลุ่มคุยกันอยู่โดยแม้นนั้นเหมือนจะเป็นคนที่คลี่คลายความสงสัยได้มากที่สุด
“พี่แม้น ท่านอสนีต้องไม่ธรรมดาแน่นอนแสดงว่าตอนเย็นท่านต้องเห็นพวกเราแน่นอน”
ดุจเดือนนั้นถามขึ้น แม้นพยักหน้าแต่ยังไม่ตอบอะไร และวีณานั้นพูดต่อ
“ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเรียกพวกเราออกไปพบได้ทั้งๆที่พวกเราจะอยู่ได้แต่ในห้องนี้ตามที่นายหญิงกำหนด พวกเราออกไปไหนไม่ได้ยกเว้นพี่แม้น”
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับวีณา แต่ก่อนที่ใครจะถามอะไรต่อแม้นนั้นพูดขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนท่านพระภูมิเรียกข้า”
ร่างของแม้นหายไปและมานั่งพับเพียบพนมมืออยู่หน้าศาลพระภูมิที่ท่านพระภูมินั้นยืนมองมาด้วยสีหน้าที่สงบ
“แม้นปกติเจ้ากับข้า เราก็ต่างคนต่างอยู่ไม่เคยได้พูดจากัน แต่ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็อยากจะกำชับเจ้าอีกครั้งในเรื่องที่ท่านผู้เจริญได้บอกไว้คือเรื่องที่อย่าไปบอกเจ้านายเจ้าโดยเด็ดขาดที่กายทิพย์ของท่านมาพบพวกเจ้า”
“เจ้าคะอิฉันรู้ดี ยังไงอิฉันก็ไม่ปริปากอยู่แล้ว”
“ข้ารู้ดี แต่บรรดาพวกลูกน้องเจ้าข้ากลัวว่ามันจะเผลอพูดไปข้าจึงเรียกเจ้ามากำชับอีกครั้ง”
“เจ้าคะแล้วอิฉันจะไปบอกพวกนั้นอีกครั้ง แต่ท่านเจ้าคะท่านพอจะบอกอิฉันได้หรือไม่ว่า ท่านอสนีคือใคร”
“แม้นข้าบอกเจ้าไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เจ้าไม่ควรรู้ แต่ก็นั่นแหละเจ้าเองสมัยเป็นคนและมาเป็นนางตะเคียนก็มีวิชาความรู้อยู่พอสมควร เจ้าลองไปไตร่ตรองให้ดีแล้วกัน แต่ต่อให้เจ้าพอจะรู้เจ้าก็บอกใครไม่ได้ เจ้าไปได้แล้วแม้น”
“เจ้าคะ”
แม้นก้มลงกราบก่อนจะกลับมาที่ห้อง และพบว่าบรรดาวิญญาณทั้งหลายยังไม่กลับเข้าในขวดแก้ว
“พี่แม้นฉันกับพี่สายทองคิดเหมือนกันว่าท่านอสนีต้องเป็นคนมีบุญแบบเทวดามาจุติแน่นอน ถึงได้มีฤทธิ์ขนาดนี้”
“ข้าก็พอจะเดาออกอุษา แต่ก็อย่างที่ท่านบอกและท่านพระภูมิก็เรียกข้าไปกำชับในเรื่องของท่านอสนีว่าพวกเอ็งอย่าหลุดปากให้คุณหนูรู้เด็ดขาดไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมา”
“พวกเราเข้าใจพี่แม้น แต่สิ่งที่ฉันยังคาใจอยู่ต่อให้เป็นเทวดามีฤทธิ์ขนาดไหน ถ้ามาจุติบนโลกก็น่าจะเป็นคนธรรมดาไม่น่าจะมีฤทธิ์ขนาดนี้ ถึงกับถอดกายทิพย์ออกมาได้ นายหญิงว่าเก่งในเวทมนต์แล้วยังสู้ไม่ได้”
สายทองเป็นคนตั้งข้อสังเกตขึ้นมา
“เวทมนต์ของคุณหนูนะเป็นมนต์ดำต่อให้คุณหนูทำตัวดีแค่ไหนไม่ทำบาป ก็ยังเป็นมนต์ดำอยู่ดี แต่การถอดกายทิพย์นี่ต้องผู้มีบุญบารมี หรือพวกที่บรรลุแล้วถึงจะทำได้ คุณหนูถึงไม่สามารถสัมผัสพลังของท่านอสนีได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นบุญของพวกเราที่ท่านอุทิศส่วนกุศลมาให้ ข้ารู้ดีทุกคนรู้สึกเหมือนข้าตอนที่ท่านบอก ถึงเราจะยังไม่ได้รับก็ตาม”
“แต่ฉันไม่เข้าใจนะพี่แม้นทำไมท่านไม่ให้พวกเราเลย”
อินทิราเป็นคนถามด้วยความสงสัย
“ถ้าท่านให้ทันที คุณหนูจะต้องรู้สิเพราะยังไงคุณหนูก็สัมผัสพลังของพวกเราได้ และจะมีคำถามตามมาที่พวกเราบอกไม่ได้ ขนาดยังไม่ได้เรายังรู้สึกดีขนาดนี้ แต่ก็เอาละข้าว่าอย่าไปสงสัยอะไรมาก เพราะเรื่องพวกนี้อยู่สูงเกินกว่าที่เราจะรู้ได้ ทุกอย่างมันมีลำดับชั้น ท่านมาโปรดก็เป็นบุญขนาดไหนแล้ว ส่วนเรื่องไอ้ผีร้ายนั่นข้าคิดว่าคงจะไม่สร้างปัญหาให้พวกเราแล้ว ถ้าคุณหนูทำตามคำชี้แนะ พรุ่งนี้เราคงรู้รายละเอียดจากคุณหนู แต่ก็อย่าประมาทเราไว้ใจไม่ได้ เอาละแยกย้าย”
พอแม้นพูดจบวิญญาณทั้งหมดต่างแยกย้ายกลับไปอยู่ในขวดแก้ว แต่แม้นยังครุ่นคิดอยู่ แม้นนั้นคาใจตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ตอนที่อสนีกลับ แม้นได้ตามไปดูและเห็นท่านพระภูมิที่ปกติไม่ค่อยจะปรากฏกายเท่าไหร่นัก ได้มานั่งพับเพียบหน้าศาลและตอนที่รถของอสนีขับผ่าน ท่านพระภูมิได้ก้มลงกราบ เหตุการณ์แบบนี้ช่างเหมือนกับตอนที่แม้นเป็นนางข้าหลวงที่เวลาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมา บรรดานางข้าหลวง นางในจะก้มลงกราบแบบนี้ พร้อมกับสิ่งที่ตนเองได้เจอเมื่อสักครู่นี้ พอรับรู้ว่าถูกอสนีเรียกไปพบถึงจะเป็นคำเชิญไม่ใช่การเรียกไปด้วยมนต์ตราดวงวิญญาณทั้งหมดต้องไปพบ แถมเป็นร่างที่เป็นกายทิพย์นั้นมีรัศมีสีทองอร่ามกว่าเมื่อตอนเย็น ทำให้แม้นรู้ทันทีว่าว่าเจอคนดีที่เพียบพร้อมไปด้วยบารมีจึงรีบขอความช่วยเหลือทันที ยิ่งพระภูมิเรียกไปกำชับว่าห้ามปริปากโดยเด็ดขาด และจริงอย่างที่ท่านพระภูมิบอกเรื่องที่แม้นมีวิชาความรู้และจากความคิดของสายทองกับอุษา ทำให้แม้นนั้นพอจะรวบรวมเรื่องได้ พอแม้นคิดได้ แม้นถึงกับยกมือพนมขึ้นเหนือหัวแล้วกล่าวออกมา
“ถึงข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ทราบว่าใต้ฝ่าละอองพระบาทคือเทพองค์ไหน แต่สิ่งที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท ตั้งพระราชประสงค์ก่อนจะมาจุติยังโลกมนุษย์นี้ ขอให้พระราชประสงค์ที่ตั้งพระทัยไว้สำเร็จด้วยเพคะ”
ถึงจะไม่ได้คำตอบแต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและที่แม้นเห็นทำให้พอจะเข้าใจได้อสนีคือเทพชั้นสูงที่ลงมาจุติบนโลกนี้พร้อมทั้งมีพลังและบารมีอันแรงกล้าไม่ใช่เทพหรือเทวดาทั่วๆไปที่ลงมาจุติ ซึ่งพอที่จะทำให้แม้นเห็นทางที่จะช่วยเหลือเจ้านายได้บ้างแล้ว
“แบบนี้คุณหนูมีทางรอดพ้นจากไอ้ผีร้ายแล้ว”
แม้นคิดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง
ซึ่งก่อนหน้าที่ในช่วงหัวค่ำ ที่กุฏิของหลวงตา หลังจากที่ท่านปิดประตูกุฏิเรียบร้อย หลวงตาได้นำคัมภีร์โบราณไปวางที่บนโต๊ะบูชาที่มีพระพุทธรูปที่หล่อด้วยโลหะอยู่องค์เดียว หลวงตาจุดธูปบูชาพระก่อนจะเริ่มสวดมนต์ จนจบเรียบร้อยหลวงตานำธูปไปปัก และมองไปที่คัมภีร์ ก่อนจะยิ้มออกมา เพราะตอนนี้ไม่มีใครนอกจากหลวงตาที่จะได้เห็นคัมภีร์เล่มนี้อีกแล้ว คัมภีร์จะถูกวางอยู่หน้าพระพุทธรูปอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ในดวงจิตของหลวงได้ยินเสียงคนมาเรียกที่หน้ากุฏิอย่างสุภาพ หลวงตาจึงหมุนตัวนั่งหันหน้าไปทางประตูก่อนจะพูดออกมา
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน